วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561
วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2561
อากรแสตมป์
เลขที่หนังสือ | : กค 0811(กม)/464 |
วันที่ | : 12 มีนาคม 2541 |
เรื่อง | : อากรแสตมป์ ค่าสินจ้าง |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 104 |
ข้อหารือ | : บริษัทฯ ประกอบกิจการรับจ้างทำของ โดยทำสัญญาจ้างทำของกับลูกค้า 2 กรณี คือ (1) ระบุมูลค่างานและภาษีมูลค่าเพิ่มแยกออกจากกัน โดยบริษัทฯ ปิดอากรแสตมป์ในสัญญา คำนวณจากมูลค่างาน ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (2) รวมมูลค่างานและภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ด้วยกัน โดยบริษัทฯ ปิดอากรแสตมป์ในสัญญาโดย คำนวณจากมูลค่างานที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ บริษัทฯ หารือว่า การปิดอากรแสตมป์ในต้นฉบับสัญญาจ้างทำของของบริษัทฯ ถูกต้องหรือไม่ |
แนววินิจฉัย | : สัญญาจ้างทำของเป็นตราสารตามลักษณะแห่งตราสาร 4. รับจ้างทำของแห่ง บัญชีอัตราอากรแสตมป์ ผู้รับจ้างต้องเสียอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาท ทุกจำนวนเงิน 1,000 บาท หรือ เศษของ 1,000 บาท แห่งสินจ้างที่กำหนดไว้ โดยไม่ต้องนำภาษีมูลค่าเพิ่มมารวมคำนวณด้วย |
เลขตู้ | : 61/26497 |
เลขที่หนังสือ | : กค 0811/16107 |
วันที่ | : 25 พฤศจิกายน 2540 |
เรื่อง | : อากรแสตมป์ กรณีจำนวนแห่งสินจ้างที่นำมาคำนวณค่าอากรแสตมป์ |
ข้อกฎหมาย | : ประเด็นปัญหา |
ข้อหารือ | : การปิดแสตมป์บริบูรณ์ในสัญญาจ้างทำของ ซึ่งเป็นตราสารที่ต้องปิดแสตมป์บริบูรณ์ ตามลักษณะแห่งตราสาร 4. จ้างทำของ แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ทุกจำนวน 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท แห่งสินจ้างที่กำหนดไว้ต่อค่าอากรแสตมป์ 1 บาท จะคำนวณจากสินจ้างที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ |
แนววินิจฉัย | : สัญญาจ้างทำของเป็นตราสารที่ต้องปิดแสตมป์บริบูรณ์ตามอัตราที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ โดยให้คำนวณเฉพาะจากสินจ้างที่ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม |
เลขตู้ | : 60/26106 |
วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561
เปลี่ยนชื่อบริษัท - ใบกำกับภาษี
เลขที่หนังสือ | : กค 0706/พ./5139 | |||||||||||||||
วันที่ | : 4 มิถุนายน 2546 | |||||||||||||||
เรื่อง | : ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีขออนุโลมให้ใช้ใบกำกับภาษีซื้อที่ระบุชื่อเดิมในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม | |||||||||||||||
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 82/5(2) | |||||||||||||||
ข้อหารือ | : 1. บริษัท ฟ. (บริษัทฯ) จดทะเบียนนิติบุคคลเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2539 เดิมชื่อบริษัท อ. ต่อมาเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2540 บริษัทฯ ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อต่อกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์เป็นบริษัท บ. และเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2545 เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ฟ. 2. บริษัทฯ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.01) เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2540 คำนวณภาษี จากภาษีขายหักภาษีซื้อ ประกอบกิจการขายสินค้าอุปโภคบริโภค ให้บริการต่าง ๆ เช่น บริการไอเย็น ปรับอากาศ บริการรักษาความสะอาด บริการรักษาความปลอดภัย บริการโทรศัพท์ และให้บริการเช่าตู้ ขายสินค้า ต่อมาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2545 บริษัทฯ ได้ยื่นแบบ ภ.พ.09 แจ้งเปลี่ยนชื่อบริษัทและ สถานประกอบการจากบริษัท บ. เป็นบริษัท ฟ. พร้อมทั้งชำระค่าปรับกรณีแจ้งเปลี่ยนชื่อล่าช้าไว้แล้ว 3. บริษัทฯ ได้ยื่นหนังสือเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2545 ขออนุโลมให้ใช้ใบกำกับ-ภาษีที่ระบุชื่อ เดิม (บริษัท บ.) ซึ่งบริษัทฯ ได้รับมาระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2545 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2545 ใน การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยชี้แจงว่าบริษัทฯ ได้แจ้งเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ฟ.ต่อกรมทะเบียนการค้า กระทรวง-พาณิชย์เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2545 และแจ้งต่อ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ (เดิม) เปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มล่าช้าอีกทั้งบริษัทฯ ได้แจ้งเกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อบริษัทฯ ให้ผู้ขายหรือ ผู้ให้บริการของบริษัทฯ ทราบล่วงหน้าเพื่อที่จะได้ออกใบกำกับภาษีตามชื่อใหม่ แต่มีใบกำกับภาษีซื้อที่บริษัทฯ ได้รับระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2545 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2545 จากผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการ บางรายยังคงปรากฏชื่อเดิม ซึ่งบริษัทฯ ได้ติดต่อขอให้แก้ไขให้ถูกต้องและแจ้งให้ทราบว่า หากไม่ทำ การแก้ไขผู้ออกใบกำกับภาษีจะมีโทษปรับตามที่กฎหมายกำหนด แต่มีผู้ขายหรือผู้ให้บริการบางราย ไม่ สามารถยกเลิกใบกำกับภาษีเดิมและออกใบกำกับภาษีที่ระบุชื่อใหม่ของบริษัทฯ ได้ เนื่องจากติดขัดใน ระบบคอมพิวเตอร์ บริษัทฯ ได้แจ้งให้ผู้ขายหรือผู้ให้บริการทราบว่าต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่ กรมสรรพากรกำหนด แต่ไม่ได้รับความร่วมมือที่จะแก้ไขใบกำกับภาษีที่ผิดดังกล่าว | |||||||||||||||
แนววินิจฉัย | : กรณีบริษัทฯ แจ้งเปลี่ยนชื่อบริษัทฯ จากเดิมชื่อบริษัท บ. เปลี่ยนเป็นบริษัท ฟ. โดยแจ้งต่อ กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2545 และแจ้งเปลี่ยนแปลงชื่อต่อ สำนักงาน สรรพากรพื้นที่ (เดิม) วันที่ 31 พฤษภาคม 2545 พร้อมชำระค่าปรับกรณีแจ้งเปลี่ยนแปลงล่าช้า และได้ รับใบกำกับภาษีโดยระบุชื่อเดิม ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2545 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2545 ตาม ข้อเท็จจริงดังกล่าว แยกพิจารณาได้ดังนี้ 1. ใบกำกับภาษีที่ระบุชื่อเดิมของบริษัทฯ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 254 5 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2545 เป็นใบกำกับภาษีที่ได้รับก่อนแจ้งเปลี่ยนแปลงชื่อต่อ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ (เดิม) เป็นใบกำกับภาษีที่ระบุชื่อถูกต้องตามชื่อที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 86/4(3) แห่ง ประมวลรัษฎากร ไม่เป็นใบกำกับภาษีต้องห้ามตามมาตรา 82/5(2) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ นำ ภาษีซื้อมาหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากชื่อของบริษัทฯ ในทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง 2. ใบกำกับภาษีที่ระบุชื่อเดิมของบริษัทฯ ตั้งแต่วันที่ 1-30 มิถุนายน 2545 เป็นใบกำกับภาษี ทีได้รับหลังจากการแจ้งเปลี่ยนแปลงชื่อต่อ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ (เดิม) แล้ว เป็นใบกำกับภาษีที่ระบุ ชื่อของบริษัทฯ ไม่ถูกต้องตามที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 86/4(3) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งถือเป็นใบกำกับภาษีต้องห้ามมิให้นำมาหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากเป็นใบกำกับภาษีที่มีข้อความไม่ถูกต้องในส่วนที่เป็นสาระสำคัญตาม มาตรา 82/5(2) แห่งประมวลรัษฎากร โดยผู้ออกใบกำกับภาษีมีความผิดระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ตามมาตรา 90(12) แห่งประมวลรัษฎากร | |||||||||||||||
เลขตู้ | : 66/32464 http://www.rd.go.th/publish/24681.0.html ----------------------------------------------------------
|
ป้ายกำกับ:
ข้อหารือ,
ใบกำกับภาษี,
เปลี่ยนชื่อบริษัท,
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
ภาษีเกี่ยวกับพนักงาน
เลขที่ : | 403312 |
เรื่อง : | ภาษีซื้อ กรณีการจัดงานปีใหม่ และค่าของขวัญพนักงานในวันปีใหม่ |
คำถาม : | ภาษีซื้อที่เกิดจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดงานปีใหม่ และค่าของขวัญพนักงานในวันปีใหม่ เป็นภาษีซื้อต้องห้ามหรือไม่ และค่าของขวัญพนักงานต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ |
คำตอบ : | ภาษีซื้อที่เกิดจากค่าจัดงานปีใหม่ ถือเป็นสวัสดิการที่บริษัทมอบให้แก่พนักงาน ย่อมเป็นภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการของบริษัท จึงนำมาหักออกจากภาษีขายได้ ส่วนภาษีซื้อที่เกิดจากค่าของขวัญพนักงานในวันปีใหม่ เป็นภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการของบริษัท จึงต้องห้ามไม่ให้นำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 82/5 แห่งประมวลรัษฎากร อย่างไรก็ดี หากเป็นของขวัญจับสลากในงานเลี้ยงให้แก่พนักงานทุกคนในลักษณะสวัสดิการ โดยไม่เลือกปฏิบัติให้กับพนักงานบางคน ย่อมมีลักษณะเช่นเดียวกับการเลี้ยงพนักงาน จึงถือว่าเป็นประเภทสวัสดิการของพนักงาน ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการของบริษัทย่อมนำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ทั้งนี้ ของขวัญจับสลาก ซึ่งเป็นสวัสดิการของพนักงานดังกล่าวนั้น ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากถือเป็นการขายสินค้า ตามมาตรา 77/1(8) แห่งประมวลรัษฎากร ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อมีการส่งมอบสินค้า ตามมาตรา 78(1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยไม่จำต้องจัดทำใบกำกับภาษี ตามข้อ 2(10) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.86/2542ฯ |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)