วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2568

การให้เช่าพื้นที่กับการให้ใช้พื้นที่

 การให้เช่าพื้นที่กับการให้ใช้พื้นที่มีความแตกต่างกันทั้งในส่วนของข้อเท็จจริง ประกอบข้อกฎหมาย และประเด็นทางภาษีอากร

1. การให้เช่าพื้นที่ อันเป็นอสังหาริมทรัพย์
1.1 สัญญาเช่าทรัพย์ คือ สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งที่เรียกว่า ผู้ให้เช่า ตกลงให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า "ผู้เช่า" ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่ง ชั่วระยะเวลาอันจำกัดและผู้เช่าตกลงจะให้ค่าเช่าเพื่อการนั้น (มาตรา 537 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)
สัญญาเช่าทรัพย์มีลักษณะดังนี้คือ
(1) เป็นสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งคู่สัญญาเช่าทรัพย์ต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน กล่าวคือ ผู้ให้เช่าเป็นลูกหนี้โดยมีหน้าที่ที่จะต้องส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าให้แก่ผู้เช่าในขณะเดียวกันก็เป็นเจ้าหนี้ในอันที่จะได้รับค่าเช่าทรัพย์สินนั้น
(2) ผู้เช่ามีสิทธิได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่า
สิทธิของผู้เช่าในทรัพย์สินที่เช่านั้น แม้ช่วงเวลานานเพียงใดก็เป็นสิทธิที่จะได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่านั้น ผู้เช่าไม่ได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่า เช่นเช่าบ้าน ผู้เช่ามีสิทธิเพียงครอบครอง ใช้ประโยชน์อยู่อาศัยในบ้านเท่านั้น แม้จะอยู่มานานเท่าใดผู้เช่าก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์
“ทรัพย์สิน” ที่เป็นวัตถุแห่งสัญญาเช่านี้จะเป็นอสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์หรือสิทธิใดๆ ก็ได้ เช่น บ้าน ที่ดิน รถยนต์ สิทธิในเครื่องหมายการค้า หรือลิขสิทธิ์ เป็นต้น
สิทธิที่จะได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินตามสัญญาเช่านั้น กฎหมายได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า ต้องเป็นระยะเวลาอันมีจำกัด เช่น กำหนดเป็นวัน เดือน ปี หรือแม้จะกำหนดระยะเวลาเช่าไว้ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าก็ได้เพราะเท่ากับเป็นการกำหนดระยะเวลาอันมีจำกัดแล้วนั่นเอง ทั้งนี้ ผู้ให้เช่าต้องส่งมอบการครอบครองให้แก่ผู้เช่า มิฉะนั้น สัญญาเช่าก็จักไม่เกิดขึ้น และเมื่อได้ส่งมอบการครอบครองแล้ว ผู้ให้เช่าจะเข้าไปในพื้นที่เช่าไม่ได้เลย เว้นแต่จะมีเหตุที่กฎหมายยอมให้กระทำได้
(3) ผู้เช่าตกลงให้ค่าเช่าเพื่อตอบแทนการใช้ทรัพย์สิน เรียกว่า “ค่าเช่า” ซึ่งกำหนดเป็นเงินตราที่คู่สัญญาให้แก่กันเพื่อตอบแทนการใช้ทรัพย์สินที่เช่า หรือจะตกลงกันกำหนดค่าเช่าเป็นทรัพย์สินอย่างอื่นก็ได้
(4) การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่กำหนดระยะเวลาเช่าไว้ไม่เกิน 3 ปี กฎหมายได้กำหนดว่าสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ มิฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ (มาตรา 538 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่กำหนดระยะเวลาเช่าไว้เกินกว่า 3 ปี หรือตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า การเช่าอสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าจะกำหนดระยะเวลาเช่าไว้เพียง 1 ปี 2 ปี หรือเกินกว่านั้นเป็น 10 ปี 20 ปี หลักเกณฑ์ในการทำสัญญาก็เหมือนกัน กล่าวคือการเช่าอสังหาริมทรัพย์สามารถตกลงกันได้นานที่สุด 30 ปี (มาตรา 540 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์) ต้องมี “หลักฐานเป็นหนังสือ” จึงจะสามารถฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญาเช่าทรัพย์ได้
อย่างไรก็ตามถ้าเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มีกำหนดระยะเวลาเช่าเกินกว่า 3 ปี หรือตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า กฎหมายกำหนดให้ตองทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งหากไม่ทำตามก็จะฟ้องร้องบังคับคดีได้เพียงแค่ 3 ปี เท่านั้น (มาตรา 538 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)
เครดิต http://life.cpru.ac.th/.../%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97%E0...
1.2 การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ในทางภาษีอากร
(1) ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (1) (ต) แห่งประมวลรัษฎากร
(2) กรณีผู้เช่าเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ที่จ่ายค่าเช่าให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 6 (1) และ (2) ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528 ในอัตราร้อยละ 5 ของค่าเช่า
(3) สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ต้องปิดอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาทต่อมูลค่าเช่าตามสัญญา ทุกจำนวน 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท
2. การให้ใช้พื้นที่อันเป็นอสังหาริมทรัพย์
2.1 เป็นสัญญาการให้บริการ เนื่องจากไม่มีการส่งมอบการครอบครองทรัพย์ที่ให้ใช้พื้นทีกันนั้น ซึ่งผู้ให้บริการใช้พื้นที่ยังคงมีสิทธิครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นตลอดเวลา
2.2 การให้ใช้พื้นที่ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ ในทางภาษีอากร
(1) เป็นกิจการให้บริการที่อยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
(2) กรณีผู้ใช้บริการเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ที่จ่ายค่าเช่าให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 12/1 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528 ในอัตราร้อยละ 3 ของค่าบริการ
(3) สัญญาให้ใช้พื้นที่ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์
ตัวอย่าง
กรณีบริษัท A เช่าที่ดินเปล่า แล้วนำที่ดินที่เช่ามาทำตลาดนัดชาวบ้าน ไม่มีสิ่งก่อสร้าง โดยบริษัทฯ จัดให้มีเต้นท์และไฟฟ้าใหักับผู้เช่าพื้นที่ขายของ ตลาดนัดมีวันจันทร์ - ศุกร์ ช่วงเวลา 15.00-21.00 น. บริษัทฯ คิดอัตราค่าบริการเหมารวมวันละ 200.- บาท ต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร นั้น รายได้จากการให้บริการพื้นที่เพื่อขายของในลักษณะตลาดนัดดังกล่าว เป็นรายได้อยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/2 (1) ประกอบกับมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบริษัทฯ ประกอบธุรกิจประกันชีวิต มีที่จอดรถว่าง โดยให้พนักงานบริษัทฯ เช่าที่จอดรถเดือนละ 2,000 บาทต่อคนต่อเดือน โดยทำสัญญาเช่า ถามว่า บริษัทฯ ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ นั้น
ให้พิจารณาเงื่อนไขการให้บริการใช้พื้นที่จอดรถดังกล่าวว่า เป็นการให้เช่าที่จอดรถยนต์ หรือให้บริการรับฝากรถยนต์
1. หากบริษัทฯ ส่งมอบการครอบครองพื้นที่จอดรถยนต์ให้แก่พนักงาน เป็นสัดส่วนแน่นอนว่า อยู่บริเวณใด ผู้อื่นไม่สามารถเข้าใช้ได้ พนักงานต้องดูแลรับผิดชอบความปลอดภัยของทรัพย์สินรถยนต์ของตนเอง เช่นนี้ เข้าลักษณะเป็นการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 (1)(ต) แห่งประมวลรัษฎากร
2. แม้จะทำสัญญาให้เช่าพื้นที่ และมีข้อกำหนดตาม (1) แต่ในทางปฏิบัติ บริษัทฯ มียามดูแลรักษาความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินรถยนต์ทั้งส่วนรถยนต์ของบริษัทฯ และของพนักงานโดยรวม เช่นนี้ ถือเป็นสัญญาเป็นสัญญาฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 657 จึงเข้าลักษณะเป็นการประกอบกิจการให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพตามมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ ผู้รับฝากทรัพย์จึงมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 และมาตรา 82 แห่งประมวลรัษฎากร
ตัวอย่างแนวคำตอบข้อหารือของกรมสรรพากร
เลขที่หนังสือ : กค 0811/7511
วันที่ : 14 ธันวาคม 2543
เรื่อง : ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีภาษีซื้อที่เกิดจากการก่อสร้างอาคารเพื่อให้เช่าและการให้บริการพื้นที่จอดรถ
ข้อกฎหมาย : มาตรา 81(1)(ต), มาตรา 77/1(10), มาตรา 77/2, คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 90/2542ฯ
ข้อหารือ :
1. บริษัทฯ ได้เช่าที่ดินโดยมีกำหนดอายุการเช่า 30 ปี และก่อสร้างอาคารบนที่ดินที่เช่า ให้ชื่อว่า อาคารเกษตรพลาซ่า ซึ่งจำแนกธุรกิจภายในอาคารเป็น 3 ส่วน คือ อาคารชั้น 4 – ชั้น 6 โดยแบ่งสัญญาออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
(1) สัญญาเช่าพื้นที่สำนักงานและสัญญาบริการ ซึ่งสัญญาบริการ ได้แก่ ระบบปรับอากาศ ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ และพื้นที่จอดรถ สำหรับในส่วนสัญญาบริการ บริษัทฯ ได้เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้รับบริการ
(2) อาคารศูนย์การค้าให้เช่าบนอาคารชั้นพื้นดิน – ชั้น 3 มีสัญญาเช่า 1 สัญญาเป็นสัญญาให้เช่าเหมา 30 ปี ชั้นใต้ดิน 1 บางส่วน – ชั้น 3 เพื่อทำธุรกิจศูนย์การค้า โดยผู้เช่าจะดำเนินการให้เช่าช่วงพื้นที่ และจัดหาบริการต่าง ๆ ให้แก่ผู้เช่าช่วงของตนเอง บริษัทฯ ไม่ได้ให้บริการแก่ผู้เช่าอาคารศูนย์การค้าแต่อย่างใด
(3) อาคารจอดรถ บนอาคารชั้นใต้ดิน 1 บางส่วน – อาคารชั้นใต้ดิน 3 สามารถจอดรถยนต์ได้รวม 411 คัน และรถจักรยานยนต์ได้รวม 50 คัน เปิดให้บริการแก่ประชาชนทั่วไป โดยผู้ใช้รถจะสามารถนำรถเข้ามาจอดได้ตั้งแต่เวลา 6.00 น. ถึงเวลา 02.00 น. ทุกวัน
บริษัทฯ จะเรียกเก็บค่าบริการจอดรถจากรถทุกคันที่เข้ามาจอดในอาคารจอดรถตามอัตราที่บริษัทฯ กำหนด ได้แก่ ชั่วโมงละ 30 บาท หรือจอดรถไม่เกิน 4 ชั่วโมง เสียค่าจอด 10 บาท แต่สำหรับผู้เช่าอาคารสำนักงานบนอาคารชั้น 4 – ชั้น 6 ซึ่งได้ทำสัญญาเช่าพื้นที่สำนักงานและสัญญาบริการ บริษัทฯ เรียกเก็บค่าบริการจอดรถเป็นรายเดือนในอัตราคันละ 1,500 บาท ต่อคันต่อเดือน โดยจะมอบสติ๊กเกอร์ให้แก่ผู้เช่าตามจำนวนรถที่กำหนดไว้ในสัญญาบริการ และบริษัทฯ กำหนดสถานที่จอดรถไว้ให้เป็นการเฉพาะ
2. บริษัทฯ มีความเห็นว่า การให้บริการพื้นที่จอดรถไม่เข้าลักษณะเป็นการให้บริการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (1)(ต) แห่งประมวลรัษฎากร แต่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/1 (10) และมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ มีสิทธิเฉลี่ยภาษีซื้อจากการก่อสร้างอาคารสำนักงานและการให้บริการพื้นที่จอดรถ ตามมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร จึงหารือว่า ความเห็นของบริษัทฯ ถูกต้องหรือไม่
แนววินิจฉัย :
1. กรณีบริษัทฯ ก่อสร้างอาคารเพื่อให้เช่า ซึ่งมีทั้งการเช่าเพื่อประกอบธุรกิจศูนย์การค้าและเช่าเป็นอาคารสำนักงาน โดยการเช่าเป็นอาคารสำนักงานนั้น บริษัทฯ ได้ทำสัญญาให้เช่าพื้นที่สำนักงาน และสัญญาให้บริการสาธารณูปโภคซึ่งรวมถึงพื้นที่จอดรถด้วย ในส่วนของการให้บริการพื้นที่จอดรถ บริษัทฯ เรียกเก็บค่าบริการแตกต่างกัน กล่าวคือ หากเป็นผู้เช่าอาคารสำนักงานซึ่งทำสัญญาเช่าพื้นที่สำนักงาน และสัญญาบริการ บริษัทฯ จะเรียกเก็บค่าบริการจอดรถเป็นรายเดือนโดยจะมอบสติกเกอร์ให้แก่ผู้เช่าตามจำนวนรถที่กำหนดไว้ในสัญญาบริการและกำหนดสถานที่จอดรถไว้ให้เป็นการเฉพาะ แต่หากเป็นลูกค้าทั่วไปจะเรียกเก็บค่าบริการจอดรถจากรถทุกคันที่เข้ามาจอดในอาคารจอดรถตามอัตราที่กำหนด กรณีดังกล่าว การประกอบกิจการให้เช่าอาคารเพื่อประกอบธุรกิจศูนย์การค้าและเช่าเป็นอาคารสำนักงานเข้าลักษณะเป็นการให้บริการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (1)(ต) แห่งประมวลรัษฎากร และการให้บริการพื้นที่จอดรถเข้าลักษณะเป็นการให้บริการตามมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับค่าบริการพื้นที่จอดรถตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 6 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 90/2542 ฯ ลงวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2542
2. กรณีบริษัทฯ ก่อสร้างอาคารเพื่อให้เช่าและให้บริการพื้นที่จอดรถด้วย โดยอาคารจอดรถอยู่ในอาคารเดียวกันกับอาคารที่ให้เช่า บริษัทฯ ไม่มีสิทธินำภาษีซื้อทั้งหมดที่เกิดจากการก่อสร้างอาคารไปหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่จะต้องเฉลี่ยภาษีซื้อที่เกิดจากการก่อสร้างอาคารที่จะนำไปหักออกจากภาษีขาย ทั้งนี้ ตามมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29) เรื่อง กำหนด หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเฉลี่ยภาษีซื้อ ตามมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2535
3. กรณีข้อเท็จจริงปรากฏว่า บริษัทฯ ได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับค่าบริการพื้นที่ จอดรถและได้เฉลี่ยภาษีซื้อที่เกิดจากากรก่อสร้างอาคารเพื่อให้เช่าและให้บริการพื้นที่จอดรถตั้งแต่เริ่มมีการให้บริการตามสัญญาเป็นต้นมา ถือว่าบริษัทฯ ปฏิบัติถูกต้องตามประมวลรัษฎากรแล้ว
เลขตู้ : 63/29994
เลขที่หนังสือ : กค 0811/พ.09559
วันที่ : 14 กันยายน 2542
เรื่อง : ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้บริการเกี่ยวกับการรับฝากข้าวสารในคลังสินค้าและให้บริการจัดหาคนงานขนข้าวสาร
ข้อกฎหมาย : มาตรา 77/1 (10), มาตรา 82/4, มาตรา 81 (1)(ณ)
ข้อหารือ :
องค์การฯ ได้ทำสัญญาเช่าคลังสินค้าเพื่อเก็บข้าวสารโดยผู้ให้เช่าตกลงจัดเตรียมคลังสินค้าให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยใช้การได้พร้อมที่จะรับฝากข้าวสารของผู้เช่าได้ทันทีและผู้ให้เช่าตกลงเป็นผู้จัดหายามเพื่อรักษาข้าวสารที่เก็บไว้ในคลังสินค้ามิให้เสียหายหรือสูญหายโดยค่าใช้จ่ายเป็นของผู้ให้เช่า หากเกิดความเสียหายหรือสูญหายใด ๆ ขึ้นแก่ข้าวสารของผู้เช่าโดยมีร่องรอยของการโจรกรรมผู้ให้เช่ายินยอมรับผิดชดใช้ราคาข้าวสาร รวมทั้งค่าสินไหมทดแทนอื่น ๆ ทั้งสิ้น สัญญามีกำหนดเวลา 6 เดือน และเมื่อครบกำหนดเวลาหากมีข้าวสารเหลืออยู่ในคลังสินค้า ผู้ให้เช่ายินยอมให้ผู้เช่าเช่าคลังสินค้าต่อไปจนกว่าจะขนย้ายข้าวสารออกจากคลังสินค้าเสร็จสิ้น นอกจากนั้นองค์การฯ ได้ตกลงให้ผู้ให้เช่าจัดหาคนงานเพื่อทำการขนข้าวสารให้แก่องค์การฯ ไม่ต่ำกว่าวันละ 600 ตันโดยต้องขนข้าวสารลงจากรถบรรทุกข้าวสารเข้าคลังสินค้าตามคำสั่งของผู้เช่าหรือผู้แทนของผู้เช่าได้ตลอดเวลา โดยกำหนดอัตราค่าจ้างคนงานในการขนข้าวสารลงจากรถและตั้งเรียงกองในคลังสินค้าในอัตรากระสอบละ 3.80 บาท ซึ่งได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มตลอดจนภาษีอากรอื่น ๆ แล้ว
องค์การฯ จึงหารือว่า กรณีที่ องค์การฯ ตกลงเช่าคลังสินค้าเพื่อฝากเก็บข้าวสารกับผู้ให้เช่าโดยคิดค่าเช่าและกำหนดให้ผู้ให้เช่ารับผิดหากข้าวสารที่ฝากเก็บสูญหายหรือเสียหาย และกรณีที่ตกลงให้ผู้ให้เช่าจัดหากรรมกรขนข้าวสารให้องค์การฯ ตามข้อเท็จจริง ผู้ให้เช่ามีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่นั้น
แนววินิจฉัย :
1. กรณีสัญญาเช่าคลังสินค้าที่มีข้อตกลงให้ผู้ให้เช่าเป็นผู้เก็บรักษาข้าวสารที่เก็บไว้ในคลังสินค้า หากเกิดความเสียหายหรือสูญหายแก่ข้าวสารผู้ให้เช่าต้องรับผิดชดใช้ราคาข้าวสาร และมีข้อตกลงคืนข้าวสารเมื่อครบกำหนดตามสัญญาเป็นสัญญาฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 657 จึงเข้าลักษณะเป็นการประกอบกิจการให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพตามมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ ผู้รับฝากทรัพย์จึงมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 และมาตรา 82 แห่งประมวลรัษฎากร และมีสิทธิเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากองค์การฯ เมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตามมาตรา 82/4 แห่งประมวลรัษฎากร
2. กรณีการให้บริการจัดหาและว่าจ้างแรงงานกรรมกรเพื่อขนข้าวสารเข้าเก็บในคลังสินค้าตามคำสั่งขององค์การฯ เข้าลักษณะเป็นการประกอบกิจการให้บริการขนส่งในราชอาณาจักรบริษัทฯ จึงได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 (1)(ณ) แห่งประมวลรัษฎากร
เลขตู้ : 62/28304
เลขที่หนังสือ : กค 0702/6328
วันที่ : 7 สิงหาคม 2552
เรื่อง : ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้เช่าอาคารและการให้เช่าที่จอดรถ
ข้อกฎหมาย : มาตรา 81 (1)(ต) มาตรา 77/1 (10) มาตรา 77/2 และมาตรา 78/1 แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อหารือ
บริษัทฯ ประกอบกิจการเกี่ยวกับธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทฯ เช่าอาคาร ที่จอดรถ เพื่อนำมาให้เช่าช่วงต่อทั้งอาคาร มีสถานที่ให้เช่าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด บริษัทฯ ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน บริษัทฯ จึงขอทราบว่า
1. ค่าเช่าอาคารที่ให้เช่าช่วงเป็นธุรกิจประเภทการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ใช่หรือไม่
2. กรณีเจ้าของสินทรัพย์ที่ให้เช่าได้แบ่งสัญญาเช่าเป็น 2 สัญญา คือ สัญญาเช่าอาคาร และสัญญาเช่าเฟอร์นิเจอร์ บริษัทฯ จะต้องทำสัญญากับผู้เช่าช่วงเป็น 2 สัญญาด้วยหรือไม่ หากแบ่งแยกสัญญาดังกล่าว สัญญาเช่าอาคารเป็นสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วนสัญญาเช่าเฟอร์นิเจอร์เป็นสัญญาเช่าสังหาริมทรัพย์ที่ต้องนำมาคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ใช่หรือไม่
3. กรณีที่จอดรถที่มีลักษณะเป็นที่ดินว่าง หรือมีลานจอดรถที่มุงหลังคาเป็นบางส่วน และมีรั้ว โดยมีลักษณะให้เช่าทั้งหมดกับ ผู้เช่ารายเดียว ในแต่ละสถานที่ ไม่มีการให้บริการอื่นเพิ่มเติม บริษัทฯ เรียกเก็บค่าเช่าเป็นรายเดือน และผู้เช่าเป็นผู้ถือกุญแจ การให้เช่า ที่จอดรถดังกล่าวอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
4. กรณีผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของทรัพย์ได้มอบสิทธิเกี่ยวกับผลประโยชน์ในที่ดินหรืออาคารให้แก่บริษัทฯ โดยบริษัทฯ ไม่ต้องเสีย ตอบแทน ต่อมาบริษัทฯ ได้นำที่ดินหรืออาคารนั้นให้เช่าและเรียกเก็บค่าเช่าเป็นรายเดือน ถือว่าเป็นการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์หรือไม่
แนววินิจฉัย
1. กรณีตาม 1. หากการให้เช่าช่วงอาคาร เข้าลักษณะเป็นการประกอบกิจการให้บริการเช่าอสังหาริมทรัพย์ จึงได้รับยกเว้น ภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (1)(ต) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ในกรณีการให้บริการอื่นๆ เช่น ให้เช่าเฟอร์นิเจอร์และสิ่งอำนวย ความสะดวกอื่นๆ และให้บริการสาธารณูปโภค ไม่ว่าจะเรียกเก็บค่าบริการรวมหรือแยกออกจากค่าเช่าอาคาร ถือเป็นการให้บริการ ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ ตามมาตรา 77/1 (10) มาตรา 77/2 และมาตรา 78/1 แห่งประมวลรัษฎากร
2. กรณีตาม 2. หากบริษัทฯ ทำสัญญาให้เช่าช่วงเป็น 2 สัญญา คือ สัญญาเช่าอาคารและสัญญาเช่าเฟอร์นิเจอร์ เฉพาะสัญญาเช่า เฟอร์นิเจอร์ เข้าลักษณะเป็นการให้บริการ ตามมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับ ค่าบริการที่ได้รับจากการให้เช่าเฟอร์นิเจอร์ ตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร
3. กรณีตาม 3. หากบริษัทฯ ให้เช่าที่จอดรถที่เป็นที่ดินว่างหรือมีลานจอดรถที่มุงหลังคาเป็นบางส่วนและมีรั้ว โดยมีลักษณะ ให้เช่าทั้งหมดแก่ผู้เช่ารายเดียวในแต่ละสถานที่ และได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินหรือลานจอดรถดังกล่าวให้แก่ผู้เช่ารายนั้นๆ เข้าลักษณะเป็นการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 (1)(ต) แห่งประมวลรัษฎากร
4. กรณีตาม 4. หากบริษัทฯ นำที่ดินหรืออาคารนั้นไปให้ผู้อื่นเช่า ถือว่าบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ได้รับยกเว้น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 (1)(ต) แห่งประมวลรัษฎากร
เลขตู้ : 72/36779
เลขที่หนังสือ : กค 0702/พ./879
วันที่ : 31 มกราคม 2561
เรื่อง : ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้เช่าทรัพย์สิน
ข้อกฎหมาย : มาตรา 81 (1)(ต) แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อหารือ
1. บริษัทฯ เช่าที่ดินเปล่าจากผู้ถือหุ้นสัญญาเช่ามีกำหนด ๓ ปี ได้ทำการพัฒนาที่ดิน โดยดำเนินการถมดิน ปรับปรุงพื้นผิว และสร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อนำออกให้เช่าประกอบกิจการ เช่น ร้านอาหารภัตตาคาร ค้าขายผักและผลไม้ เป็นต้น โดยใช้ชื่อโครงการ (โครงการฯ) บริษัทฯ จึงเป็นเจ้าของสิทธิการเช่าที่ดินและทรัพย์สินที่ปลูกสร้างตามสัญญาเช่าดังกล่าว
2. บริษัทฯ ได้ทำสัญญากับผู้เช่าเพื่อให้เช่าทรัพย์สินในโครงการฯ เพื่อให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่า และผู้เช่าตกลงจ่ายค่าเช่าเป็นการตอบแทนการให้เช่าแก่บริษัทฯ โดยทรัพย์สินที่บริษัทฯ ปลูกสร้างและนำออกให้เช่าแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
2.1 สิ่งปลูกสร้างแบบอาคารเป็นหลัง แบ่งเป็นห้อง แต่ละห้องมีผนังและประตูปิด – เปิด
2.2 สิ่งปลูกสร้างในอาคารซึ่งสร้างติดอยู่กับที่ดินแบบเป็นล็อก จัดแบ่งเป็นโซน เช่น โซนผักผลไม้ แต่ละล็อกมีหมายเลขกำกับและมีพื้นที่แบ่งล็อกชัดเจน มีโครงสร้างมั่นคง ถาวร มีความสูงจากพื้นดินประมาณ 1 เมตร มีประตูปิด – เปิด เข้า – ออก บุคคลภายนอกไม่สามารถเดินผ่านเข้า – ออก ด้านล่างสามารถเก็บของได้
3. บริษัทฯ และผู้เช่าได้ตกลงทำสัญญาเช่าทรัพย์สิน โดยกำหนดเงื่อนไขความรับผิดชอบของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย สรุปได้ ดังนี้
3.1 สัญญาเช่าทรัพย์สินมีกำหนดระยะเวลาและค่าตอบแทนการเช่า
3.2 ผู้เช่าสามารถเข้า – ออก ทรัพย์สินที่เช่า ได้ในเวลาใดๆ
3.3 ผู้เช่าสามารถตกแต่งทรัพย์สินที่เช่า ด้วยค่าใช้จ่ายของผู้เช่าเองหรือตามที่จะตกลงกับผู้ให้เช่า
3.4 ผู้เช่ามีหน้าที่ในการดูแลรักษาความสะอาดทรัพย์สินที่เช่าเอง รวมถึงค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการนั้น
3.5 เช่าจะต้องดูแลและซ่อมแซมทรัพย์สินที่เช่า ด้วยค่าใช้จ่ายของผู้เช่าเอง
3.6 ผู้เช่าต้องดูแลรับผิดชอบความปลอดภัยของทรัพย์สินเอง
3.7 เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของผู้ให้เช่าฯ มีหน้าที่ดูแลการจราจร และความเป็นระเบียบเรียบร้อยในโครงการฯ เท่านั้น ไม่มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของผู้เช่าแต่อย่างใด
3.8 ชอบในความสูญหายหรือเสียหายในทรัพย์สินของผู้เช่า
3.9 ผู้ให้เช่าฯ หรือตัวแทนของบริษัทฯ จะเข้าไปในทรัพย์สินที่เช่าได้ ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากผู้เช่า
3.10 ผู้เช่าจะต้องรับผิดชอบ ดูแลสินค้าหรือทรัพย์สินใดๆ ของผู้เช่าเพียงฝ่ายเดียว ไม่ว่าจะเกิดกรณีสูญหายหรือถูกโจรกรรม ลักทรัพย์ ยักยอก หรือเหตุสุดวิสัย หรือเหตุใดๆ ก็ตาม ผู้เช่าไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายใดๆ จากผู้ให้เช่าฯ
4. บริษัทฯ ได้ส่งมอบการครอบครองให้แก่ผู้เช่า โดยให้ผู้เช่าได้รับหรือได้ใช้ประโยชน์จาก ทรัพย์สินที่เช่าแล้วในวันทำสัญญา จึงขอหารือว่า รายได้จากการให้เช่าทรัพย์สินดังกล่าว เป็นรายได้จากการให้เช่า อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ถูกต้องหรือไม่
แนววินิจฉัย
กรณีบริษัทฯ ได้ตกลงให้เช่าทรัพย์สินซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาเช่า ซึ่งสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวมีลักษณะติดตรึงแน่นหนา มั่นคง กับที่ดินเป็นการถาวร เพื่อให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่า โดยสัญญาเช่ามีกำหนดระยะเวลาและบริษัทฯ ได้รับค่าตอบแทนจากการเช่า หากบริษัทฯ ได้ส่งมอบการครอบครองทรัพย์สินที่เช่าให้กับผู้ให้เช่า การให้เช่าทรัพย์สินดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 (1)(ต) แห่งประมวลรัษฎากร
เลขตู้ : 81/40562
ที่มา:
https://www.taxguruthai.com/.../%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8...


วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2568

ใบกำกับภาษี

เลขที่หนังสือ: กค 0811/พ.05369
วันที่: 8 มิถุนายน 2542
เรื่อง: ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีใบกำกับภาษีระบุที่อยู่ไม่ตรงกับที่ได้จดทะเบียนไว้
ข้อกฎหมาย: มาตรา 86/4
ข้อหารือ: 1. กรณีใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี ที่ผู้ขายออกให้ผู้ซื้อโดยไม่ได้พิมพ์คำว่าแขวง ลงใน
ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี ซึ่งไม่ตรงกับ ภ.พ.20 จะใช้เป็นภาษีซื้อในการยื่นแบบแสดงรายการ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 86/4 (3) ได้หรือไม่
2. กรณีใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี ที่ผู้ขายออกให้ผู้ซื้อ พิมพ์รหัสไปรษณีย์ 10110 ลงไป
ในใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี ซึ่งไม่ตรงกับ ภ.พ.20 จะใช้เป็นภาษีซื้อในการยื่นแบบแสดงรายการ
ภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 86/4 (3) ได้หรือไม่
แนววินิจฉัย: 1. กรณีบริษัทฯ ได้รับใบกำกับภาษีซื้อ ซึ่งระบุที่อยู่ของผู้ซื้อถูกต้อง แต่มิได้ระบุแขวงไว้
เนื่องจากรายการที่อยู่ของผู้ซื้อ ซึ่งระบุไว้ในใบกำกับภาษี สามารถบอกตำแหน่งที่ตั้งที่ชัดแจ้งถูกต้อง ตามมาตรา 86/4 (3) แห่งประมวลรัษฎากร จึงเป็นใบกำกับภาษีซื้อที่นำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้
2. รหัสไปรษณีย์ไม่ใช่รายการตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร กรณีบริษัทฯ ได้รับ
ใบกำกับภาษีซื้อซึ่งระบุรหัสไปรษณีย์คลาดเคลื่อน บริษัทฯ จึงใช้เป็นใบกำกับภาษีซื้อได้
เลขตู้: 62/27885

 https://www.rd.go.th/23605.html

เลขที่หนังสือ: กค 0811/3013
วันที่: 19 เมษายน 2543
เรื่อง: ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการขออนุมัติใช้ใบกำกับภาษีที่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรพิมพ์เกิน
ข้อกฎหมาย: มาตรา 81/5 (2), มาตรา 82/3
ข้อหารือ: บริษัทฯ ขอให้พิจารณาอนุมัติการใช้ใบกำกับภาษี กรณีโรงพิมพ์ได้พิมพ์
เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรในใบกำกับภาษีเกินไป 1 หมายเลข โดยบริษัทฯ ได้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 4
สิงหาคม 2540 ถึงวันที่ 17 กันยายน 2542 เริ่มต้นใช้ตั้งแต่เล่มที่ 181 เลขที่ 09001 ถึงเล่มที่ 221
เลขที่ 11049 และบริษัทฯ ได้ยกเลิกใบกำกับภาษีเล่มที่ 221 เลขที่ 11050 ถึงเล่มที่ 230 เลขที่
11500 ในวันที่ 17 กันยายน 2542
แนววินิจฉัย: กรณีใบกำกับภาษีที่พิมพ์เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรเกินไปหนึ่งหมายเลขถือเป็น
ใบกำกับภาษีที่มีข้อความไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ
ตามมาตรา 82/5(2) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 17) เรื่องกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับภาษีซื้อที่ไม่ให้นำไปหักในการคำนวณภาษีตามมาตรา82/5(1)(2)(3) และ (4) แห่งประมวลรัษฎากร

ผู้รับจึงไม่อาจนำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีดังกล่าวมาหักในการคำนวณภาษีตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการจดทะเบียน
ซึ่งจัดทำใบกำกับภาษีโดยมีรายการในส่วนที่เป็นสาระสำคัญไม่ถูกต้องครบถ้วนเมื่อได้รับการร้องขอให้ยกเลิกใบกำกับภาษีฉบับเดิมและจัดทำใบกำกับภาษีฉบับใหม่ที่ถูกต้อง ให้ดำเนินการดังนี้
(1) เรียกคืนใบกำกับภาษีฉบับเดิมและนำมาประทับตราว่า "ยกเลิก" หรือขีดฆ่า แล้วเก็บ
รวมไว้กับสำเนาใบกำกับภาษีฉบับเดิม
(2) จัดทำใบกำกับภาษีฉบับใหม่ซึ่งเป็นเลขที่ใหม่ แต่จะต้องลง วัน เดือน ปี ให้ตรงกับ
วัน เดือน ปี ตามใบกำกับภาษีฉบับเดิม และ
(3) หมายเหตุไว้ในใบกำกับภาษีฉบับใหม่ว่า เป็นการยกเลิกและออกใบกำกับภาษีฉบับใหม่
แทนฉบับเดิมเลขที่... เล่มที่... และหมายเหตุการยกเลิกใบกำกับภาษีไว้ในรายงานภาษีขายของ
เดือนภาษีที่จัดทำใบกำกับภาษีฉบับใหม่ด้วย
ส่วนผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ร้องขอให้ยกเลิกใบกำกับภาษีฉบับเดิมและจัดทำฉบับใหม่ที่
ถูกต้อง จะต้องถ่ายเอกสารใบกำกับภาษีฉบับเดิมที่ขอยกเลิกติดเรื่องไว้ด้วย
เลขตู้: 63/29161

https://www.rd.go.th/23900.html


เลขที่หนังสือ: กค 0811/6268
วันที่: 21 มิถุนายน 2544
เรื่อง: การปัดเศษทศนิยมของภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อกฎหมาย: มาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500
ข้อหารือ: กรมศุลกากรแจ้งว่าตามมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตาม
ความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 238) พ.ศ. 2534 บัญญัติไว้ว่า “ให้
ยกเว้นภาษีเงินได้ในหมวด 3 ภาษีมูลค่าเพิ่มในหมวด 4 และภาษีธุรกิจเฉพาะในหมวด 5 ของลักษณะ 2
แห่งประมวลรัษฎากร แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเฉพาะเศษของบาทจากการคำนวณภาษี”นั้น กรมศุลกากรจึง
หารือว่า ในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มของกรมศุลกากร หากมีเศษทศนิยมเกิดขึ้น เศษของบาทควรจะปัด
เป็นหนึ่งบาท หรือควรจะยกเว้นเศษของบาทโดยตัดเศษของบาททิ้ง
แนววินิจฉัย: ผู้นำเข้าเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82 ประกอบกับมาตรา 83/8 แห่ง
ประมวลรัษฎากร จึงได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะเศษของบาทจากการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่
ผู้นำเข้ามีหน้าที่เสีย ตามมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการ
ยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความใน
ประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 238) พ.ศ. 2534 ดังนั้น ผู้นำเข้าจึงไม่ต้องเสีย
ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเศษของบาทจากการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มแต่อย่างใด
เลขตู้: 64/30614

https://www.rd.go.th/25395.html



วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

จ่ายค่าโปรแกรม Adobe ให้ประเทศไอร์แลนด์

 Inbox: วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2566 เวลา 13:27 น.

คุณ Pijittra Sea *ไม่ประสงค์ออกนาม*
สวัสดีค่ะ อาจารย์
ขอรบกวนสอบถามอาจารย์หน่อยได้ไหมค่ะ จะสอบถามเกี่ยวกับ การจ่ายค่าโปรมแกรม Adobe เป็นการจ่ายเงินไป ตปท. รายเดือน เดือนละประมาณ 3,000 บาท โดยไม่มีสัญญา ต้องนำส่ง ภ.ง.ด. 54 ใช่ไหมค่ะ แต่ผู้ให้บริการไม่ให้หักณที่จ่าย จะต้องบันทึกบัญชีอย่างไรค่ะ ซึ่งถ้าออกแทน ส่วนที่ออกแทนเป็นรายจ่ายบวกกลับหรือเปล่าค่ะ แล้วการคำนวณยื่น ภ.พ. 36 ใช้ยอดไหนยื่นค่ะ
และ เท่าที่หาข้อมูล ภ.ง.ด.54 ค่าโปรแกรมจะเป็นค่าสิทธิ 40 (3) ต้องจ่าย 15% แต่จะมีอนุสัญญาภาษีซ้อน จ่าย 5%
รบกวนอาจารย์หน่อยนะค่ะ ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
ค่ะ
สุเทพ พงษ์พิทักษ์ วิสัชนา:
1. กรณีบริษัทฯ จ่ายค่าค่าบริการโปรแกรม Adobe ไปให้บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศ ไอร์แลนด์ โดยมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย เข้าลักษณะเป็นการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากประเทศไอร์แลนด์ มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย บริษัทฯ จึงมีหน้าที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามในอัตรา 5% ของเงินได้ที่จ่าย และนำส่งพร้อมทั้งยื่นแบบ ภ.ง.ด.54 ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดจากเดือนที่จ่ายเงินได้ ทั้งนี้ ตามข้อ 12 วรรคสอง (ก) แห่งอนุสัญญาภาษีซ้อนไทย - ไอร์แลนด์
2. กรณีบริษัทฯ จ่ายโปรแกรม Adobe (ค่าสิทธิ) เป็นการตอบแทนให้กับบริษัทต่างประเทศในการได้ใช้โปรแกรม เข้าลักษณะเป็น "บริการ" การให้บริการดังกล่าว เป็นการให้บริการในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการในราชอาณาจักร เมื่อบริษัทฯ จ่าย ค่าบริการให้กับบริษัทต่างประเทศ จึงมีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตราร้อยละ 7.0 ของค่าบริการทั้งหมด ตามมาตรา 77/1 (10) มาตรา 77/2 และมาตรา 83/6 (2) แห่งประมวลรัษฎากร โดยใช้แบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม แบบ ภ.พ. 36 ภายใน 7 วัน นับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายค่าบริการ https://www.facebook.com/Suthep.Pongpitak/posts/pfbid0SaF8fE7drznoAvQbD3YJB5VJ1r3ACp79N3xY839EWMVTvHpJ4KWS9mkZcx1YkTsWl

วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2566

การจ่ายเงินปันผลของบริษัทจำกัด

 การจ่ายเงินปันผลของบริษัทจำกัด

        เกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจำกัดให้แก่ผู้ถือหุ้น 
        1. กฎหมายเกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผล
            1.1 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สำหรับบริษัทจำกัดที่มิใช่บริษัทมหาชน 

                  การจ่ายเงินปันผล   
                  “มาตรา 1200 การแจกเงินปันผลนั้น ต้องคิดตามส่วนจำนวน ซึ่งผู้ถือหุ้น ได้ส่งเงินแล้วในหุ้นหนึ่ง ๆ เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นในเรื่องหุ้นบุริมสิทธิ
                  มาตรา 1201 ห้ามมิให้ประกาศอนุญาตเงินปันผล นอกจากโดยมติของที่ประชุมใหญ่ 

                      กรรมการอาจจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้น ได้เป็นครั้งเป็นคราว ในเมื่อปรากฏแก่กรรมการว่าบริษัทมีกำไรสมควรพอที่จะทำเช่นนั้น 

                      ห้ามมิให้จ่ายเงินปันผลจากเงินประเภทอื่นนอกจากเงินกำไร ถ้าหากบริษัทขาดทุน ห้ามมิให้จ่ายเงินปันผลจนกว่าจะได้แก้ไขให้หายขาดทุนเช่นนั้น 

                      “การจ่ายเงินปันผลนั้นให้กระทําภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่หรือกรรมการลงมติ แล้วแต่กรณี”

(แก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 21/2560 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเพื่ออํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ลงวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2560 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)  

                  มาตรา 1202 ทุกคราวที่แจกเงินปันผล บริษัทต้องจัดสรรเงินไว้เป็นทุน สำรองอย่างน้อยหนึ่งในยี่สิบส่วนของจำนวนผลกำไร ซึ่งบริษัททำมาหาได้จาก กิจการของบริษัท จนกว่าทุนสำรองนั้นจะมีจำนวนถึงหนึ่งในสิบของจำนวนทุน ของบริษัทหรือมากกว่านั้น แล้วแต่จะได้ตกลงกำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัท
                      ถ้าได้ออกหุ้นโดยคิดเอาราคาเกินกว่าที่ปรากฏในใบหุ้นเท่าใด จำนวนที่คิดเกินนี้ท่านให้บวกทบเข้าในทุนสำรองจนกว่าทุนสำรองจะมีจำนวนเท่าถึงที่ กำหนดไว้ในวรรคก่อน 
                  มาตรา 1203 ถ้าจ่ายเงินปันผลไปโดยฝ่าฝืนความในมาตราทั้งสองซึ่ง กล่าวมาไซร้ เจ้าหนี้ทั้งหลายของบริษัทชอบที่จะเรียกเอาเงินจำนวนซึ่งได้ แจกไปคืนมายังบริษัทได้ แต่ว่าถ้าผู้ถือหุ้นคนใดได้รับเงินปันผลไปแล้วโดย สุจริต ท่านว่าจะกลับบังคับให้เขาจำคืนนั้นหาได้ไม่ 
                  "มาตรา 1204 การบอกกล่าวว่าจะปันผลอย่างใด ๆ อันได้อนุญาตให้จ่ายนั้น ให้บริษัทมีจดหมายบอกกล่าวไปยังตัวผู้ถือหุ้นที่ปรากฏชื่ออยู่ในทะเบียนผู้ถือหุ้นทุกคน แต่ในกรณีที่บริษัทมีหุ้นชนิดที่มีใบหุ้นออกให้แก่ผู้ถือ ให้โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราวด้วย” 
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยพรบ. แก้ไขเพิ่มเติม ปพพ. (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2551) 
                  มาตรา 1205 เงินปันผลนั้น แม้จะค้างจ่ายอยู่ ท่านว่าหาอาจจะคิดเอา ดอกเบี้ยแก่บริษัทได้ไม่” 

                  การประชุมใหญ่ 

                  มาตรา 1175 คำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ ให้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อในทะเบียนของบริษัทก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เป็นคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษ ให้กระทำการดังว่านั้นก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน

                     คำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่นั้น ให้ระบุสถานที่ วัน เวลา และสภาพแห่งกิจการที่จะได้ประชุมปรึกษากัน และในกรณีที่เป็นคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษ ให้ระบุข้อความที่จะนำเสนอให้ลงมติด้วย  

            1.2 ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด
                  "มาตรา 115 การจ่ายเงินปันผลจากเงินประเภทอื่นนอกจากเงินกำไรจะกระทำมิได้ ในกรณีที่บริษัทยังมียอดขาดทุนสะสมอยู่ ห้ามมิให้จ่ายเงินปันผล 
                      เงินปันผลนั้นให้แบ่งตามจำนวนหุ้น หุ้นละเท่าๆ กัน เว้นแต่จะมีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในเรื่องหุ้นบุริมสิทธิ โดยการจ่ายเงินปันผลต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น 
                     เมื่อข้อบังคับของบริษัทกำหนดให้ทำได้ คณะกรรมการอาจจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้เป็นครั้งคราว เมื่อเห็นว่าบริษัทมีกำไรสมควรพอที่จะทำเช่นนั้นและเมื่อได้จ่ายเงินปันผลแล้ว ให้รายงานให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นทราบในการประชุมคราวต่อไป 
การจ่ายเงินปันผลนั้นให้กระทำภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้น หรือคณะกรรมการลงมติ แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ให้แจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้ถือหุ้นกับให้โฆษณาคำบอกกล่าวการจ่ายเงินปันผลนั้นในหนังสือพิมพ์ด้วย 
                  มาตรา 116 บริษัทต้องจัดสรรกำไรสุทธิประจำปีส่วนหนึ่งไว้เป็นทุนสำรองไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของกำไรสุทธิประจำปีหักด้วยยอดเงินขาดทุนสะสมยกมา (ถ้ามี) จนกว่าทุนสำรองนี้จะมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละสิบของทุนจดทะเบียน เว้นแต่บริษัทจะมีข้อบังคับหรือกฎหมายอื่นกำหนดให้ต้องมีทุนสำรองมากกว่านั้น 
                  มาตรา 117 ในกรณีที่บริษัทยังจำหน่ายหุ้นไม่ครบตามจำนวนที่จดทะเบียนไว้ หรือบริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนแล้ว บริษัทจะจ่ายเงินปันผลทั้งหมดหรือบางส่วน โดยออกเป็นหุ้นสามัญใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นก็ได้ 
                  มาตรา 118 ในกรณีที่บริษัทจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยฝ่าฝืนมาตรา 115 มาตรา 116 หรือมาตรา 117 เป็นเหตุให้เจ้าหนี้ของบริษัทเสียเปรียบ เจ้าหนี้จะฟ้องผู้ถือหุ้นให้คืนเงินปันผลที่ได้รับไปแล้วก็ได้ โดยต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติแต่ผู้ถือหุ้นคนใดได้รับเงินปันผลไปแล้วโดยสุจริตจะบังคับให้คืนเงินมิได้ 
                  มาตรา 119 เมื่อได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว บริษัทจะโอนเงินสำรองอื่นที่มิใช่ทุนสำรองตามมาตรา 51 หรือมาตรา 116 เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมของบริษัทก็ได้”
          1.3 ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 
                เนื่องจากบริษัทจดทะเบีบนในตลาดหลักทรัพย์มีสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ข้อบัญญัติเกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลก็ให้เป็นไปเช่นเดียวกับกรณีบริษัทมหาชนจำกัดนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามทางตลาดหลักทรัพย์ได้สรุปหลักเกณฑ์การจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนไว้ตามเวบไซต์ดังต่อไปนี้ 
เดรดิต: http://www.set.or.th/…/regul…/files/20130517_Dividend_v2.pdf


        2. ในทางภาษีอากร 
            เกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลของบริษัทฯ นั้น มีข้อควรคำนึงดังนี้
            2.1 บริษัทฯ พึงต้องจ่ายเงินปันผลจากกำไรสะสมทางบัญชีเท่านั้น กรณีมีผลขาดทุนสะสม ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากการใดบริษัทฯ ย่อมไม่มีสิทธิจ่ายเงินปันผล ซึ่งในการจ่ายเงินปันผลดังกล่าว บริษัทฯ ไม่ต้องนำจำนวนกำไรทางภาษีเงินได้นิติบุคคลที่มีเพื่อการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรมาพิจารณา เว้นแต่เรื่องของอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิ ให้พิจารณาตาม 2.2 


                  บริษัทห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ต้องการจ่ายเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบคุคลนั้น ต้องจ่ายจากกำไรสะสมในทางบัญชีเท่านั้น ไม่อาจนำกำไรสุทธิในทางภาษีอากรมาจ่ายเป็นเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรได้ เนื่องเพราะกำไรสุทธิในทางภาษีอากรมีขึ้นเพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษ๊เงินได้นิติบุคคลเท่านั้น 
                  ดังนั้น บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจึงต้องจำแนกกำไรสุทธิที่บันทึกในบัญชีกำไรสะสมให้ชัดแจ้งว่า เป็นกำไรสุทธิที่ได้ผ่านการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือไม่ และได้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราเท่าใด ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 118/2545 และการใช้สิทธิในเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ของผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน 


                   เว้นแต่ การจ่ายเงินปันผลของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน 

ซึ่งได้รับยกเว้นเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนฯ บริษัทฯ ต้องจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิทางภาษี และเงินปันผลดังกล่าว จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตลอดระยะเวลาที่ผู้ได้รับการส่งเสริมได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนฯ เมื่อบริษัทฯ ได้ปฏิบัติตามข้อ 5 ข้อ 6 และข้อ 7 ของประกาศกรมสรรพากร เรื่อง การคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 ดังนี้

                     (1) ต้องเป็นเงินปันผลที่ผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเป็นผู้จ่าย และผู้รับเงินปันผลได้รับในระหว่างระยะเวลาที่ผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล

                     (2) ต้องเป็นเงินปันผลที่จ่ายจากกำไรสุทธิของกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ นิติบุคคลเท่านั้น

                     (3) กรณีผู้ได้รับการส่งเสริมประกอบกิจการทั้งที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ผู้ได้รับการส่งเสริมจะจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิที่เกิดจากกิจการใด เป็นจำนวนเท่าใดก็ได้ แต่ผู้รับเงินปันผลจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เฉพาะเงินปันผลที่จ่ายจากกำไรสุทธิของกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เท่านั้น

                    กรณีที่ผู้ได้รับการส่งเสริมจ่ายเงินปันผลโดยมิได้ระบุว่าเงินปันผลดังกล่าวจ่ายจากกำไรสุทธิของกิจการใด ให้เฉลี่ยเงินปันผลดังกล่าวตามส่วนของกำไรสุทธิของกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลกับกำไรสุทธิของกิจการที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (หนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากรเลขที่ กค 0702/5562 ลงวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551 (https://www.rd.go.th/39288.html)

                 
            2.2 ให้จำแนกจำนวนกำไรสะสมที่ได้ผ่านการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี โดยจำแนกเป็น 
                  (1) กำไรสะสมในส่วนที่ไม่ผ่านการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ไม่ว่าจะเกิดจากการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลกรณีใดๆ 
                  (2) กำไรสะสมในแต่ละช่วงอัตราภาษี โดยหักจำนวนภาษีเงินได้นิติบุคคลที่บริษัทฯ ได้ชำระออกไป คงเหลือสุทธิเป็นจำนวนเทาใดในแต่ละขั้นอัตราภาษีเงิน ได้นิติบุคคล 
                  (3) กรณีที่มีรายการปรับปรุงกำไรสุทธิทางภาษีอากรให้มีจำนวนมากกว่ากำไรสุทธิทางบัญชี อาทิ การบวกกลับรายจ่ายต้องห้าม การบวกเพิ่มรายได้ที่ไม่เป็นไปตามราคาตลาด ถือได้ว่าบริษัทฯ ไม่มีจำนวนกำไรสุทธิที่จะนำไปจ่ายเงินปันผลสำหรับกำไรสุทธิในส่วนนี้ (เท่ากับกิจการต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรที่ไม่เกิดขึ้นจริง (เสียฟรี) ตามหลักเกณฑ์แห่งประมวลรัษฎากร)
            2.3 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ มีสิทธิที่จะกำหนดเลือกจ่ายเงินปันผลจากจำนวนกำไรสะสมที่ผ่านการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลอัตราใด ของรอบระยะเวลาบัญชีใดๆ ก็ได้ โดยให้ระบุอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่บิรษัทฯ ได้จ่ายชำระไว้ในหนังสือรับรองการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ที่จายให้แก่ผู้ถือหุ้นที่เป็นผู้มีภูมิลำเนาในประเทศไทย หรือเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ตามมาตรา 50 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 62) รวมทั้งคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 119/2545 


                 บริษัทฯ มีสิทธิที่จะเลือกจ่ายเงินปันผลจากกำไรสะสมก้อนใดก่อนหลังก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเฉลี่ยเงินปันผลตามสัดส่วนของกำไรสะสมในแต่ละอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล เพราะได้ทราบโดยชัดแจ้งว่า เงินปันผลจากกำไรสุทธิที่บริษัทฯ จะนำมาจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นนั้น ได้มีการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไปก่อนแล้วในอัตราเท่าใด เมื่อบริษัทฯ จ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิที่คำนวณได้จากเงินปันผลที่ได้รับมาจากบริษัทในเครือโดยระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย อย่างชัดเจนว่า เงินปันผลที่จ่ายนั้น จำนวนใดมาจากเงินปันผลที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราเท่าใดให้แก่ผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา ผู้ถือหุ้นดังกล่าวย่อมมีสิทธิได้รับเครดิตภาษีเงินปันผลตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยอนุโลมตามข้อ 3 ของหนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากรเลขที่ กค 0706/2156 ลงวันที่ 14 มีนาคม 2549 


                 เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีเงินได้จาก “กำไรสุทธิ” นั้น ตามความเข้าใจ คือ รัฐจัดเก็บภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิเป็นสองระดับ คือ 
                 ระดับที่หนึ่ง จึดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล ในอดีตก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 ได้เคยจัดเก็บภาษ๊เงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ แต่ในปัจจุบัน โดยทั่วไปจัดเก็บในอัตราร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ หากจะจัดเก็บในอัตราที่ต่ำกว่าก็เป็นกรณีที่รัฐส่งเสริมกิจการประเภทนั้น เป็นกรณีพิเศษ แม้จะเป็นการจัดเก็บภาษีจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล แต่ทว่าในทางความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่เสียภาษีเงินได้นิติบคุคล ได้แก่ ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนหรือเจ้าของกิจการนั่นเอง 
                ระดับที่สอง จัดเก็บจาก “เงินปันผล” อันเป้นการนำเอากำไรสะสมภายหลังการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลมาจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น โดยกำหนดให้คำนวณหักภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 10 ของเงินปันผล ซึ่งถือเป็นการจัดเก็บภาษีเงินได้ “ซ้ำซ้อน” โดยถือเป็นความซ้ำซ้อนเชิงเศรษฐกิจ (Economic Double Taxation)
                ประการหนึ่ง รัฐจึงเปิดทางให้ผู้มีเงินได้ที่เป็นบุคคลธรรมดา ซึ่งได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามมาตรา 40 (4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร มีสิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่าที่ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 10 ของเงินได้ไว้แล้ว ในประการนี้ เท่ากับรัฐได้รับภาษีเงินได้ไปแล้ว 2 ระดับ คือ 20% ของกำไรสุทธิ คงเหลืออีก 80% รัฐจัดเก็บภาษีเงินนได้หัก ณ ที่จายอีก 10% คิดเป็น 8% ของกำไรสุทฺธิ รวมเป็นจำนวนภาษีเงินได้ที่รัฐจัดเก็บไปในกรณีนี้คือ 20% + 8% = 28% ซึ่งเป็นจำนวนที่มากเพียงพอแล้ว รัฐจึงกำหนดให้เลือกเสียภาษีเงินได้เท่าที่ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายดังกล่าว ตามมาตรา 48 (3) แห่งประมวลรัษฎากร (Final Tax) 
                อีกประการหนึ่ง เพื่อความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิ รัฐได้บัญญัติมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ให้เครดิตภาษีแก่ผู้มีเงินได้ที่เป็นผู้มีภูมิลำเนาในประเทศไทย หรือเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย เพื่อการขจัดความซ้ำซ้อน โดยกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ผู้จ่ายเงินได้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้ชัดเจนว่าเงินได้ที่จ่ายนั้นจำนวนใดได้มาจากกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราใด ดังนี้
                “มาตรา 47 ทวิ ให้ผู้มีเงินได้ตามมาตรา 40 (4)(ข) ซึ่งได้รับจากบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยได้รับเครดิตในการคำนวณภาษี โดยให้นำอัตราภาษีเงินได้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ต้องเสียหารด้วยผลต่างของหนึ่งร้อยลบด้วยอัตราภาษีเงินได้ดังกล่าวนั้น ได้ผลลัพธ์เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับ ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเครดิตในการคำนวณภาษี ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินได้ประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้หลายอัตรา ผู้จ่ายเงินได้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้ชัดเจนว่าเงินได้ที่จ่ายนั้นจำนวนใดได้มาจากกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราใด 
                      เครดิตภาษีที่คำนวณได้ตามความในวรรคหนึ่ง ให้นำมารวมคำนวณเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามเกณฑ์ในมาตรา 48 เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใด ให้นำเครดิตภาษีที่คำนวณได้ดังกล่าวหักออกจากภาษีที่ต้องเสีย ถ้ายังขาดหรือเหลือเท่าใดให้ผู้มีเงินได้เสียภาษีสำหรับจำนวนที่ขาด หรือมีสิทธิได้รับเงินจำนวนที่เหลือนั้นคืน
                     ความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมิให้ใช้บังคับแก่ผู้มีเงินได้ซึ่งมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย และมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย
                     ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินได้แสดงข้อความที่กำหนดให้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามวรรคหนึ่งไม่ถูกต้อง อันเป็นเหตุให้เครดิตภาษีที่คำนวณได้มีจำนวนเกินกว่าที่ผู้มีเงินได้พึงได้รับ ให้ผู้จ่ายเงินได้รับผิดร่วมกับผู้มีเงินได้เท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับคืนเกินไป หรือที่ชำระไว้ไม่ครบ และถ้าผู้จ่ายเงินได้หรือผู้มีเงินได้ไม่ชำระเงินดังกล่าวภายในเจ็ดวันนับแต่ได้รับหนังสือแจ้งจากเจ้าพนักงานประเมิน ให้ถือว่าเงินจำนวนที่เรียกให้ชำระเป็นภาษีอากรค้าง ในกรณีที่เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบพบว่าเครดิตภาษีที่คำนวณได้มีจำนวนน้อยกว่าที่ผู้มีเงินได้พึงได้รับ ให้แจ้งผู้มีเงินได้ทราบถึงสิทธิที่จะได้รับเงินที่เหลือนั้นคืนตามกฎหมาย”
                อนึ่ง หากบริษัทฯ ไม่ดำเนินการดังกล่าว เพราะเหตุที่บริษัทฯ ไม่สามารถทราบโดยชัดแจ้งว่าจ่ายจากเงินกำไรหลังจากเสียภาษีในอัตราใด บริษัทฯ ผู้จ่ายเงินได้ต้องเฉลี่ยเงินปันผลตามส่วนของกำไรหลังจากเสียภาษีในแต่ละอัตราภาษี และจะต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้ชัดเจนว่าเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่จ่ายนั้นจำนวนใดได้มาจากกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราใด ตามข้อ 13 วรรคสองของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 119/2545

https://www.taxguruthai.com/topic/122/การจ่ายเงินปันผลของบริษัทจำกัด

วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2566

ถมดิน + ปรับปรุงที่ดิน

 คุณ Weeree Kanjanawaikoon ได้โพสต์ไปในไทม์ไลน์ “สุเทพ พงษ์พิทักษ์” แฟนเพจ เมื่อ 29 พฤศจิกายน 2556 เวลา 8:26 น. ว่า

“เรียน อาจารย์สุเทพ มีเรื่องรบกวนอยากสอบถามค่ะ บริษัทฯ จะมีการก่อสร้างที่จอดรถในโรงงาน โดยค่าใช้จ่ายประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ๆ คือ
1. ค่าเก็บกวาดวัชพืช ค่าขุดร่องน้ำและวางท่อคอนกรีต
2. ค่าถมดิน หิน และลูกรัง
3. งานทำทางเดินและพื้นคอนกรีต และหลังคา
อยากสอบว่าถ้าบริษัทฯ จะถือว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นต้นทุนของโรงจอดรถ เป็นทรัพย์สินประเภทสิ่งปลูกสร้าง คิดค่าเสื่อมราคา 20 ปี จะถูกต้องหรือไม่ค่ะ
ขอบคุณค่ะ

เรียน คุณ Weeree Kanjanawaikoon
เกี่ยวกับรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากรทั้ง 3 รายการข้างต้นนั้น ขอแยกพิจารณาเป็นแต่ละรายการดังนี้
1. ค่าเก็บกวาดวัชพืช ค่าขุดร่องน้ำและวางท่อคอนกรีต
(1) สำหรับรายจ่ายค่าเก็บกวาดวัชพืช โดยทั่วไป ถือเป็นรายจ่ายในการดำเนินงาน มิใช่รายจ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สิน
(2) ส่วนค่าขุดร่องน้ำ และวางท่อคอนกรีต ถือเป็นรายจ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินอื่นที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 4 (5) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการคำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 ซึ่งยอมให้คำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในอัตราไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่าต้นทุน

2. ค่าถมดิน หิน และลูกรัง อาจแยกพิจารณาได้ดังนี้
(1) กรณีที่เป็นการถมดินทั่วไป ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่ดิน ไม่อาจนำมาคำนวณหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาได้
(2) กรณีที่เป็นการถมเพื่อการทำลานจอดรถในโรงงาน ถือเป็นรายจ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินอื่นที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 4 (5) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการคำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 ซึ่งยอมให้คำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในอัตราไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่าต้นทุน

3. งานทำทางเดินและพื้นคอนกรีต และหลังคา ถือเป็นรายจ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินอื่นที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 4 (5) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการคำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 ซึ่งยอมให้คำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในอัตราไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่าต้นทุน เนื่องจากมิได้มีสภาพเป็นอาคาร โรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้าง
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ อาจใช้สิทธิคำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในอัตราต่ำกว่าร้อยละ 20 ของมูลค่าต้นทุน กล่าวคือ ในอัตราร้อยละ 5 ของมูลค่าต้นทุน นั้นบริษัทฯ ย่อมมีสิทธิกระทำได้ โดยชอบด้วยกฎหมาย
https://www.facebook.com/Suthep.Pongpitak/photos/a.606417289409251/644139648970348/

--------------------------------------------------------------------------

คุณ GGift Kanya (11 มิถุนายน 2559 เวลา 20:50 น.)
ปุจฉา: เรียน อาจารย์สุเทพ ที่เคารพ
รบกวนสอบถามเรื่องค่าเสื่อมราคากรณีถมดินลงบนที่ดินเช่าค่ะ บริษัทฯ เช่าที่ดินจากบุคคลภายนอกโดยทำสัญญาเช่า 30 ปี โดยหลังจากครบ30 ปีแล้วสัญญาระบุว่า สามารถต่ออายุสัญญาเช่าต่อไปจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิก โดย ณ วันเลิก ผู้เช่าต้องรื้อถอนหรือยกกรรมสิทธิ์ให้ผู้ให้เช่า ซึ่งขึ้นอยู่กับการตกลงกัน ณ วันบอกเลิกสัญญา
คำถาม:
บริษัทผู้เช่าได้ทำการถมที่ดินเพื่อสร้างอาคาร อยากทราบค่าถมดินจะบันทึกบัญชีเป็นส่วนปรับปรุงที่ดินใช่หรือไม่ และ ต้องหักค่าเสื่อมหรือไม่และอัตราเท่าไร เนื่องจากอ่านพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 145) มาตรา 4 (3)แล้ว สงสัยว่าค่าถมดินถือเป็นต้นทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิการเช่าหรือไม่คะ และควรหักค่าเสื่อมด้วยอัตราร้อยละ 10 เพราะสัญญาเช่ามีข้อกำหนดให้ต่ออายุการเช่าได้ โดยเงื่อนไขในการต่ออายุนั้นเปิดโอกาสให้ต่ออายุ การเช่ากันได้ต่อ ๆ ไป ถูกต้องหรือไม่คะ รบกวนตอบข้อสงสัยด้วยค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
สุเทพ พงษ์พิทักษ์
วิสัชนา:
รายจ่ายในการถมที่ดินที่บริษั่ทฯ ได้เช่ามาโดยมีกำหนดอายุการเช่าเป็นเวลา 30 ปี และต่ออายุการเช่าต่อไปจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกสัญญา นั้น
ตามข้อเท็จจริงของบริษัทมีความแตกต่างไปจากเงื่อนไขตามมาตรา 4 (3) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 คือ ตามมาตรา 4 (3) มีข้อกำหนดว่า "กรณีไม่มีหนังสือสัญญาเช่า หรือมีหนังสือสัญญาเช่าที่มีข้อกำหนดให้ต่ออายุการเช่าได้ โดยเงื่อนไขในการต่ออายุนั้นเปิดโอกาสให้ต่ออายุการเช่ากันได้ต่อ ๆ ไป" นั้น หมายความว่า ต้องเป็นกรณีที่คู่สัญญาไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับอายุการเช่าใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งตามข้อเท็จจริงบริษัทฯ มีข้อกำหนดเกี่ยวกับอายุสัญญาเบื้องต้นไว้ที่ 30 ปี แล้วจึงค่อยต่ออายุการเช่ากันต่อๆ ไป จึงไม่เข้าตามเงื่อนในในมาตรา 4 (3) แห่งพะราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527
ดังนั้น รายจ่ายค่าถมที่ ซึ่งเป็นต้นทุนสิทธิการเช่า จึงต้องคำนวณหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาไม่น้อยกว่า 30 ปี https://www.facebook.com/Suthep.Pongpitak/posts/1149596108424697/?locale=th_TH ----------------------------------------------------------------------------------------------
เลขที่หนังสือ: กค 0706/11981
วันที่: 3 ธันวาคม 2550
เรื่อง: ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีรายจ่ายค่าซ่อมโกดัง
ข้อกฎหมาย: มาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อหารือ          บริษัทฯ ประกอบธุรกิจให้เช่าโกดัง จัดเก็บสินค้าจำนวน 27 ห้อง เนื่องจากโกดังแต่ละห้องทรุด เพราะลงเสาเข็มไม่พอ บริษัทฯ จึงได้ทำสัญญาว่าจ้างผู้รับเหมาให้ซ่อมแซมโดยมีการนำดินถมพื้นให้สูงขึ้นและเทคอนกรีต เพื่อปรับสภาพให้ใช้งานได้เหมือนเดิม ซึ่งผู้รับเหมาตีราคาค่าซ่อมห้องละ 196,000 บาท บริษัทฯ จึงขอทราบว่า ค่าใช้จ่ายซ่อมแซมดังกล่าว สามารถลงเป็นค่าใช้จ่ายในปีนั้น ได้หรือไม่
แนววินิจฉัย          1. กรณีการซ่อมโกดัง เนื่องจากโกดังแต่ละห้องทรุดโดยการเทคอนกรีตให้ใช้งานได้ดังเดิมของบริษัทฯ เป็น การซ่อมแซมโกดังให้คงสภาพเดิมสามารถบันทึกบัญชีเป็นรายจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีที่พึงจ่ายได้ทั้งจำนวน ไม่ถือเป็น รายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร
          2. กรณีค่าถมดินเพื่อปรับพื้นดินให้สูงขึ้นดินที่นำมาถมนั้นเป็นส่วนควบกับที่ดินรายจ่ายดังกล่าว จึงมีลักษณะเป็น การลงทุนต้องนำมารวมกับมูลค่าที่ดิน จะถือเป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้
เลขตู้: 70/35488
https://www.rd.go.th/37198.html