วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2566

การจ่ายเงินปันผลของบริษัทจำกัด

 การจ่ายเงินปันผลของบริษัทจำกัด

        เกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจำกัดให้แก่ผู้ถือหุ้น 
        1. กฎหมายเกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผล
            1.1 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สำหรับบริษัทจำกัดที่มิใช่บริษัทมหาชน 

                  การจ่ายเงินปันผล   
                  “มาตรา 1200 การแจกเงินปันผลนั้น ต้องคิดตามส่วนจำนวน ซึ่งผู้ถือหุ้น ได้ส่งเงินแล้วในหุ้นหนึ่ง ๆ เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นในเรื่องหุ้นบุริมสิทธิ
                  มาตรา 1201 ห้ามมิให้ประกาศอนุญาตเงินปันผล นอกจากโดยมติของที่ประชุมใหญ่ 

                      กรรมการอาจจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้น ได้เป็นครั้งเป็นคราว ในเมื่อปรากฏแก่กรรมการว่าบริษัทมีกำไรสมควรพอที่จะทำเช่นนั้น 

                      ห้ามมิให้จ่ายเงินปันผลจากเงินประเภทอื่นนอกจากเงินกำไร ถ้าหากบริษัทขาดทุน ห้ามมิให้จ่ายเงินปันผลจนกว่าจะได้แก้ไขให้หายขาดทุนเช่นนั้น 

                      “การจ่ายเงินปันผลนั้นให้กระทําภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่หรือกรรมการลงมติ แล้วแต่กรณี”

(แก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 21/2560 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเพื่ออํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ลงวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2560 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)  

                  มาตรา 1202 ทุกคราวที่แจกเงินปันผล บริษัทต้องจัดสรรเงินไว้เป็นทุน สำรองอย่างน้อยหนึ่งในยี่สิบส่วนของจำนวนผลกำไร ซึ่งบริษัททำมาหาได้จาก กิจการของบริษัท จนกว่าทุนสำรองนั้นจะมีจำนวนถึงหนึ่งในสิบของจำนวนทุน ของบริษัทหรือมากกว่านั้น แล้วแต่จะได้ตกลงกำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัท
                      ถ้าได้ออกหุ้นโดยคิดเอาราคาเกินกว่าที่ปรากฏในใบหุ้นเท่าใด จำนวนที่คิดเกินนี้ท่านให้บวกทบเข้าในทุนสำรองจนกว่าทุนสำรองจะมีจำนวนเท่าถึงที่ กำหนดไว้ในวรรคก่อน 
                  มาตรา 1203 ถ้าจ่ายเงินปันผลไปโดยฝ่าฝืนความในมาตราทั้งสองซึ่ง กล่าวมาไซร้ เจ้าหนี้ทั้งหลายของบริษัทชอบที่จะเรียกเอาเงินจำนวนซึ่งได้ แจกไปคืนมายังบริษัทได้ แต่ว่าถ้าผู้ถือหุ้นคนใดได้รับเงินปันผลไปแล้วโดย สุจริต ท่านว่าจะกลับบังคับให้เขาจำคืนนั้นหาได้ไม่ 
                  "มาตรา 1204 การบอกกล่าวว่าจะปันผลอย่างใด ๆ อันได้อนุญาตให้จ่ายนั้น ให้บริษัทมีจดหมายบอกกล่าวไปยังตัวผู้ถือหุ้นที่ปรากฏชื่ออยู่ในทะเบียนผู้ถือหุ้นทุกคน แต่ในกรณีที่บริษัทมีหุ้นชนิดที่มีใบหุ้นออกให้แก่ผู้ถือ ให้โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราวด้วย” 
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยพรบ. แก้ไขเพิ่มเติม ปพพ. (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2551) 
                  มาตรา 1205 เงินปันผลนั้น แม้จะค้างจ่ายอยู่ ท่านว่าหาอาจจะคิดเอา ดอกเบี้ยแก่บริษัทได้ไม่” 

                  การประชุมใหญ่ 

                  มาตรา 1175 คำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ ให้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อในทะเบียนของบริษัทก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เป็นคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษ ให้กระทำการดังว่านั้นก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน

                     คำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่นั้น ให้ระบุสถานที่ วัน เวลา และสภาพแห่งกิจการที่จะได้ประชุมปรึกษากัน และในกรณีที่เป็นคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษ ให้ระบุข้อความที่จะนำเสนอให้ลงมติด้วย  

            1.2 ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด
                  "มาตรา 115 การจ่ายเงินปันผลจากเงินประเภทอื่นนอกจากเงินกำไรจะกระทำมิได้ ในกรณีที่บริษัทยังมียอดขาดทุนสะสมอยู่ ห้ามมิให้จ่ายเงินปันผล 
                      เงินปันผลนั้นให้แบ่งตามจำนวนหุ้น หุ้นละเท่าๆ กัน เว้นแต่จะมีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในเรื่องหุ้นบุริมสิทธิ โดยการจ่ายเงินปันผลต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น 
                     เมื่อข้อบังคับของบริษัทกำหนดให้ทำได้ คณะกรรมการอาจจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้เป็นครั้งคราว เมื่อเห็นว่าบริษัทมีกำไรสมควรพอที่จะทำเช่นนั้นและเมื่อได้จ่ายเงินปันผลแล้ว ให้รายงานให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นทราบในการประชุมคราวต่อไป 
การจ่ายเงินปันผลนั้นให้กระทำภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้น หรือคณะกรรมการลงมติ แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ให้แจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้ถือหุ้นกับให้โฆษณาคำบอกกล่าวการจ่ายเงินปันผลนั้นในหนังสือพิมพ์ด้วย 
                  มาตรา 116 บริษัทต้องจัดสรรกำไรสุทธิประจำปีส่วนหนึ่งไว้เป็นทุนสำรองไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของกำไรสุทธิประจำปีหักด้วยยอดเงินขาดทุนสะสมยกมา (ถ้ามี) จนกว่าทุนสำรองนี้จะมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละสิบของทุนจดทะเบียน เว้นแต่บริษัทจะมีข้อบังคับหรือกฎหมายอื่นกำหนดให้ต้องมีทุนสำรองมากกว่านั้น 
                  มาตรา 117 ในกรณีที่บริษัทยังจำหน่ายหุ้นไม่ครบตามจำนวนที่จดทะเบียนไว้ หรือบริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนแล้ว บริษัทจะจ่ายเงินปันผลทั้งหมดหรือบางส่วน โดยออกเป็นหุ้นสามัญใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นก็ได้ 
                  มาตรา 118 ในกรณีที่บริษัทจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยฝ่าฝืนมาตรา 115 มาตรา 116 หรือมาตรา 117 เป็นเหตุให้เจ้าหนี้ของบริษัทเสียเปรียบ เจ้าหนี้จะฟ้องผู้ถือหุ้นให้คืนเงินปันผลที่ได้รับไปแล้วก็ได้ โดยต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติแต่ผู้ถือหุ้นคนใดได้รับเงินปันผลไปแล้วโดยสุจริตจะบังคับให้คืนเงินมิได้ 
                  มาตรา 119 เมื่อได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว บริษัทจะโอนเงินสำรองอื่นที่มิใช่ทุนสำรองตามมาตรา 51 หรือมาตรา 116 เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมของบริษัทก็ได้”
          1.3 ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 
                เนื่องจากบริษัทจดทะเบีบนในตลาดหลักทรัพย์มีสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ข้อบัญญัติเกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลก็ให้เป็นไปเช่นเดียวกับกรณีบริษัทมหาชนจำกัดนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามทางตลาดหลักทรัพย์ได้สรุปหลักเกณฑ์การจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนไว้ตามเวบไซต์ดังต่อไปนี้ 
เดรดิต: http://www.set.or.th/…/regul…/files/20130517_Dividend_v2.pdf


        2. ในทางภาษีอากร 
            เกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลของบริษัทฯ นั้น มีข้อควรคำนึงดังนี้
            2.1 บริษัทฯ พึงต้องจ่ายเงินปันผลจากกำไรสะสมทางบัญชีเท่านั้น กรณีมีผลขาดทุนสะสม ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากการใดบริษัทฯ ย่อมไม่มีสิทธิจ่ายเงินปันผล ซึ่งในการจ่ายเงินปันผลดังกล่าว บริษัทฯ ไม่ต้องนำจำนวนกำไรทางภาษีเงินได้นิติบุคคลที่มีเพื่อการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรมาพิจารณา เว้นแต่เรื่องของอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิ ให้พิจารณาตาม 2.2 


                  บริษัทห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ต้องการจ่ายเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบคุคลนั้น ต้องจ่ายจากกำไรสะสมในทางบัญชีเท่านั้น ไม่อาจนำกำไรสุทธิในทางภาษีอากรมาจ่ายเป็นเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรได้ เนื่องเพราะกำไรสุทธิในทางภาษีอากรมีขึ้นเพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษ๊เงินได้นิติบุคคลเท่านั้น 
                  ดังนั้น บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจึงต้องจำแนกกำไรสุทธิที่บันทึกในบัญชีกำไรสะสมให้ชัดแจ้งว่า เป็นกำไรสุทธิที่ได้ผ่านการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือไม่ และได้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราเท่าใด ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 118/2545 และการใช้สิทธิในเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ของผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน 


                   เว้นแต่ การจ่ายเงินปันผลของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน 

ซึ่งได้รับยกเว้นเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนฯ บริษัทฯ ต้องจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิทางภาษี และเงินปันผลดังกล่าว จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตลอดระยะเวลาที่ผู้ได้รับการส่งเสริมได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนฯ เมื่อบริษัทฯ ได้ปฏิบัติตามข้อ 5 ข้อ 6 และข้อ 7 ของประกาศกรมสรรพากร เรื่อง การคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 ดังนี้

                     (1) ต้องเป็นเงินปันผลที่ผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเป็นผู้จ่าย และผู้รับเงินปันผลได้รับในระหว่างระยะเวลาที่ผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล

                     (2) ต้องเป็นเงินปันผลที่จ่ายจากกำไรสุทธิของกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ นิติบุคคลเท่านั้น

                     (3) กรณีผู้ได้รับการส่งเสริมประกอบกิจการทั้งที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ผู้ได้รับการส่งเสริมจะจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิที่เกิดจากกิจการใด เป็นจำนวนเท่าใดก็ได้ แต่ผู้รับเงินปันผลจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เฉพาะเงินปันผลที่จ่ายจากกำไรสุทธิของกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เท่านั้น

                    กรณีที่ผู้ได้รับการส่งเสริมจ่ายเงินปันผลโดยมิได้ระบุว่าเงินปันผลดังกล่าวจ่ายจากกำไรสุทธิของกิจการใด ให้เฉลี่ยเงินปันผลดังกล่าวตามส่วนของกำไรสุทธิของกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลกับกำไรสุทธิของกิจการที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (หนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากรเลขที่ กค 0702/5562 ลงวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551 (https://www.rd.go.th/39288.html)

                 
            2.2 ให้จำแนกจำนวนกำไรสะสมที่ได้ผ่านการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี โดยจำแนกเป็น 
                  (1) กำไรสะสมในส่วนที่ไม่ผ่านการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ไม่ว่าจะเกิดจากการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลกรณีใดๆ 
                  (2) กำไรสะสมในแต่ละช่วงอัตราภาษี โดยหักจำนวนภาษีเงินได้นิติบุคคลที่บริษัทฯ ได้ชำระออกไป คงเหลือสุทธิเป็นจำนวนเทาใดในแต่ละขั้นอัตราภาษีเงิน ได้นิติบุคคล 
                  (3) กรณีที่มีรายการปรับปรุงกำไรสุทธิทางภาษีอากรให้มีจำนวนมากกว่ากำไรสุทธิทางบัญชี อาทิ การบวกกลับรายจ่ายต้องห้าม การบวกเพิ่มรายได้ที่ไม่เป็นไปตามราคาตลาด ถือได้ว่าบริษัทฯ ไม่มีจำนวนกำไรสุทธิที่จะนำไปจ่ายเงินปันผลสำหรับกำไรสุทธิในส่วนนี้ (เท่ากับกิจการต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรที่ไม่เกิดขึ้นจริง (เสียฟรี) ตามหลักเกณฑ์แห่งประมวลรัษฎากร)
            2.3 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ มีสิทธิที่จะกำหนดเลือกจ่ายเงินปันผลจากจำนวนกำไรสะสมที่ผ่านการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลอัตราใด ของรอบระยะเวลาบัญชีใดๆ ก็ได้ โดยให้ระบุอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่บิรษัทฯ ได้จ่ายชำระไว้ในหนังสือรับรองการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ที่จายให้แก่ผู้ถือหุ้นที่เป็นผู้มีภูมิลำเนาในประเทศไทย หรือเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ตามมาตรา 50 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 62) รวมทั้งคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 119/2545 


                 บริษัทฯ มีสิทธิที่จะเลือกจ่ายเงินปันผลจากกำไรสะสมก้อนใดก่อนหลังก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเฉลี่ยเงินปันผลตามสัดส่วนของกำไรสะสมในแต่ละอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล เพราะได้ทราบโดยชัดแจ้งว่า เงินปันผลจากกำไรสุทธิที่บริษัทฯ จะนำมาจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นนั้น ได้มีการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไปก่อนแล้วในอัตราเท่าใด เมื่อบริษัทฯ จ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิที่คำนวณได้จากเงินปันผลที่ได้รับมาจากบริษัทในเครือโดยระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย อย่างชัดเจนว่า เงินปันผลที่จ่ายนั้น จำนวนใดมาจากเงินปันผลที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราเท่าใดให้แก่ผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา ผู้ถือหุ้นดังกล่าวย่อมมีสิทธิได้รับเครดิตภาษีเงินปันผลตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยอนุโลมตามข้อ 3 ของหนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากรเลขที่ กค 0706/2156 ลงวันที่ 14 มีนาคม 2549 


                 เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีเงินได้จาก “กำไรสุทธิ” นั้น ตามความเข้าใจ คือ รัฐจัดเก็บภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิเป็นสองระดับ คือ 
                 ระดับที่หนึ่ง จึดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล ในอดีตก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปี 2555 ได้เคยจัดเก็บภาษ๊เงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ แต่ในปัจจุบัน โดยทั่วไปจัดเก็บในอัตราร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ หากจะจัดเก็บในอัตราที่ต่ำกว่าก็เป็นกรณีที่รัฐส่งเสริมกิจการประเภทนั้น เป็นกรณีพิเศษ แม้จะเป็นการจัดเก็บภาษีจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล แต่ทว่าในทางความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่เสียภาษีเงินได้นิติบคุคล ได้แก่ ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนหรือเจ้าของกิจการนั่นเอง 
                ระดับที่สอง จัดเก็บจาก “เงินปันผล” อันเป้นการนำเอากำไรสะสมภายหลังการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลมาจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น โดยกำหนดให้คำนวณหักภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 10 ของเงินปันผล ซึ่งถือเป็นการจัดเก็บภาษีเงินได้ “ซ้ำซ้อน” โดยถือเป็นความซ้ำซ้อนเชิงเศรษฐกิจ (Economic Double Taxation)
                ประการหนึ่ง รัฐจึงเปิดทางให้ผู้มีเงินได้ที่เป็นบุคคลธรรมดา ซึ่งได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามมาตรา 40 (4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร มีสิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่าที่ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 10 ของเงินได้ไว้แล้ว ในประการนี้ เท่ากับรัฐได้รับภาษีเงินได้ไปแล้ว 2 ระดับ คือ 20% ของกำไรสุทธิ คงเหลืออีก 80% รัฐจัดเก็บภาษีเงินนได้หัก ณ ที่จายอีก 10% คิดเป็น 8% ของกำไรสุทฺธิ รวมเป็นจำนวนภาษีเงินได้ที่รัฐจัดเก็บไปในกรณีนี้คือ 20% + 8% = 28% ซึ่งเป็นจำนวนที่มากเพียงพอแล้ว รัฐจึงกำหนดให้เลือกเสียภาษีเงินได้เท่าที่ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายดังกล่าว ตามมาตรา 48 (3) แห่งประมวลรัษฎากร (Final Tax) 
                อีกประการหนึ่ง เพื่อความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิ รัฐได้บัญญัติมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ให้เครดิตภาษีแก่ผู้มีเงินได้ที่เป็นผู้มีภูมิลำเนาในประเทศไทย หรือเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย เพื่อการขจัดความซ้ำซ้อน โดยกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ผู้จ่ายเงินได้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้ชัดเจนว่าเงินได้ที่จ่ายนั้นจำนวนใดได้มาจากกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราใด ดังนี้
                “มาตรา 47 ทวิ ให้ผู้มีเงินได้ตามมาตรา 40 (4)(ข) ซึ่งได้รับจากบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยได้รับเครดิตในการคำนวณภาษี โดยให้นำอัตราภาษีเงินได้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ต้องเสียหารด้วยผลต่างของหนึ่งร้อยลบด้วยอัตราภาษีเงินได้ดังกล่าวนั้น ได้ผลลัพธ์เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับ ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเครดิตในการคำนวณภาษี ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินได้ประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้หลายอัตรา ผู้จ่ายเงินได้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้ชัดเจนว่าเงินได้ที่จ่ายนั้นจำนวนใดได้มาจากกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราใด 
                      เครดิตภาษีที่คำนวณได้ตามความในวรรคหนึ่ง ให้นำมารวมคำนวณเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามเกณฑ์ในมาตรา 48 เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใด ให้นำเครดิตภาษีที่คำนวณได้ดังกล่าวหักออกจากภาษีที่ต้องเสีย ถ้ายังขาดหรือเหลือเท่าใดให้ผู้มีเงินได้เสียภาษีสำหรับจำนวนที่ขาด หรือมีสิทธิได้รับเงินจำนวนที่เหลือนั้นคืน
                     ความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมิให้ใช้บังคับแก่ผู้มีเงินได้ซึ่งมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย และมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย
                     ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินได้แสดงข้อความที่กำหนดให้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามวรรคหนึ่งไม่ถูกต้อง อันเป็นเหตุให้เครดิตภาษีที่คำนวณได้มีจำนวนเกินกว่าที่ผู้มีเงินได้พึงได้รับ ให้ผู้จ่ายเงินได้รับผิดร่วมกับผู้มีเงินได้เท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับคืนเกินไป หรือที่ชำระไว้ไม่ครบ และถ้าผู้จ่ายเงินได้หรือผู้มีเงินได้ไม่ชำระเงินดังกล่าวภายในเจ็ดวันนับแต่ได้รับหนังสือแจ้งจากเจ้าพนักงานประเมิน ให้ถือว่าเงินจำนวนที่เรียกให้ชำระเป็นภาษีอากรค้าง ในกรณีที่เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบพบว่าเครดิตภาษีที่คำนวณได้มีจำนวนน้อยกว่าที่ผู้มีเงินได้พึงได้รับ ให้แจ้งผู้มีเงินได้ทราบถึงสิทธิที่จะได้รับเงินที่เหลือนั้นคืนตามกฎหมาย”
                อนึ่ง หากบริษัทฯ ไม่ดำเนินการดังกล่าว เพราะเหตุที่บริษัทฯ ไม่สามารถทราบโดยชัดแจ้งว่าจ่ายจากเงินกำไรหลังจากเสียภาษีในอัตราใด บริษัทฯ ผู้จ่ายเงินได้ต้องเฉลี่ยเงินปันผลตามส่วนของกำไรหลังจากเสียภาษีในแต่ละอัตราภาษี และจะต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้ชัดเจนว่าเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่จ่ายนั้นจำนวนใดได้มาจากกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราใด ตามข้อ 13 วรรคสองของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 119/2545

https://www.taxguruthai.com/topic/122/การจ่ายเงินปันผลของบริษัทจำกัด

วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2566

ถมดิน + ปรับปรุงที่ดิน

 คุณ Weeree Kanjanawaikoon ได้โพสต์ไปในไทม์ไลน์ “สุเทพ พงษ์พิทักษ์” แฟนเพจ เมื่อ 29 พฤศจิกายน 2556 เวลา 8:26 น. ว่า

“เรียน อาจารย์สุเทพ มีเรื่องรบกวนอยากสอบถามค่ะ บริษัทฯ จะมีการก่อสร้างที่จอดรถในโรงงาน โดยค่าใช้จ่ายประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ๆ คือ
1. ค่าเก็บกวาดวัชพืช ค่าขุดร่องน้ำและวางท่อคอนกรีต
2. ค่าถมดิน หิน และลูกรัง
3. งานทำทางเดินและพื้นคอนกรีต และหลังคา
อยากสอบว่าถ้าบริษัทฯ จะถือว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นต้นทุนของโรงจอดรถ เป็นทรัพย์สินประเภทสิ่งปลูกสร้าง คิดค่าเสื่อมราคา 20 ปี จะถูกต้องหรือไม่ค่ะ
ขอบคุณค่ะ

เรียน คุณ Weeree Kanjanawaikoon
เกี่ยวกับรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากรทั้ง 3 รายการข้างต้นนั้น ขอแยกพิจารณาเป็นแต่ละรายการดังนี้
1. ค่าเก็บกวาดวัชพืช ค่าขุดร่องน้ำและวางท่อคอนกรีต
(1) สำหรับรายจ่ายค่าเก็บกวาดวัชพืช โดยทั่วไป ถือเป็นรายจ่ายในการดำเนินงาน มิใช่รายจ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สิน
(2) ส่วนค่าขุดร่องน้ำ และวางท่อคอนกรีต ถือเป็นรายจ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินอื่นที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 4 (5) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการคำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 ซึ่งยอมให้คำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในอัตราไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่าต้นทุน

2. ค่าถมดิน หิน และลูกรัง อาจแยกพิจารณาได้ดังนี้
(1) กรณีที่เป็นการถมดินทั่วไป ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่ดิน ไม่อาจนำมาคำนวณหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาได้
(2) กรณีที่เป็นการถมเพื่อการทำลานจอดรถในโรงงาน ถือเป็นรายจ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินอื่นที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 4 (5) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการคำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 ซึ่งยอมให้คำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในอัตราไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่าต้นทุน

3. งานทำทางเดินและพื้นคอนกรีต และหลังคา ถือเป็นรายจ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินอื่นที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 4 (5) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการคำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 ซึ่งยอมให้คำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในอัตราไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่าต้นทุน เนื่องจากมิได้มีสภาพเป็นอาคาร โรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้าง
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ อาจใช้สิทธิคำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในอัตราต่ำกว่าร้อยละ 20 ของมูลค่าต้นทุน กล่าวคือ ในอัตราร้อยละ 5 ของมูลค่าต้นทุน นั้นบริษัทฯ ย่อมมีสิทธิกระทำได้ โดยชอบด้วยกฎหมาย
https://www.facebook.com/Suthep.Pongpitak/photos/a.606417289409251/644139648970348/

--------------------------------------------------------------------------

คุณ GGift Kanya (11 มิถุนายน 2559 เวลา 20:50 น.)
ปุจฉา: เรียน อาจารย์สุเทพ ที่เคารพ
รบกวนสอบถามเรื่องค่าเสื่อมราคากรณีถมดินลงบนที่ดินเช่าค่ะ บริษัทฯ เช่าที่ดินจากบุคคลภายนอกโดยทำสัญญาเช่า 30 ปี โดยหลังจากครบ30 ปีแล้วสัญญาระบุว่า สามารถต่ออายุสัญญาเช่าต่อไปจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิก โดย ณ วันเลิก ผู้เช่าต้องรื้อถอนหรือยกกรรมสิทธิ์ให้ผู้ให้เช่า ซึ่งขึ้นอยู่กับการตกลงกัน ณ วันบอกเลิกสัญญา
คำถาม:
บริษัทผู้เช่าได้ทำการถมที่ดินเพื่อสร้างอาคาร อยากทราบค่าถมดินจะบันทึกบัญชีเป็นส่วนปรับปรุงที่ดินใช่หรือไม่ และ ต้องหักค่าเสื่อมหรือไม่และอัตราเท่าไร เนื่องจากอ่านพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 145) มาตรา 4 (3)แล้ว สงสัยว่าค่าถมดินถือเป็นต้นทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิการเช่าหรือไม่คะ และควรหักค่าเสื่อมด้วยอัตราร้อยละ 10 เพราะสัญญาเช่ามีข้อกำหนดให้ต่ออายุการเช่าได้ โดยเงื่อนไขในการต่ออายุนั้นเปิดโอกาสให้ต่ออายุ การเช่ากันได้ต่อ ๆ ไป ถูกต้องหรือไม่คะ รบกวนตอบข้อสงสัยด้วยค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
สุเทพ พงษ์พิทักษ์
วิสัชนา:
รายจ่ายในการถมที่ดินที่บริษั่ทฯ ได้เช่ามาโดยมีกำหนดอายุการเช่าเป็นเวลา 30 ปี และต่ออายุการเช่าต่อไปจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกสัญญา นั้น
ตามข้อเท็จจริงของบริษัทมีความแตกต่างไปจากเงื่อนไขตามมาตรา 4 (3) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 คือ ตามมาตรา 4 (3) มีข้อกำหนดว่า "กรณีไม่มีหนังสือสัญญาเช่า หรือมีหนังสือสัญญาเช่าที่มีข้อกำหนดให้ต่ออายุการเช่าได้ โดยเงื่อนไขในการต่ออายุนั้นเปิดโอกาสให้ต่ออายุการเช่ากันได้ต่อ ๆ ไป" นั้น หมายความว่า ต้องเป็นกรณีที่คู่สัญญาไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับอายุการเช่าใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งตามข้อเท็จจริงบริษัทฯ มีข้อกำหนดเกี่ยวกับอายุสัญญาเบื้องต้นไว้ที่ 30 ปี แล้วจึงค่อยต่ออายุการเช่ากันต่อๆ ไป จึงไม่เข้าตามเงื่อนในในมาตรา 4 (3) แห่งพะราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527
ดังนั้น รายจ่ายค่าถมที่ ซึ่งเป็นต้นทุนสิทธิการเช่า จึงต้องคำนวณหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาไม่น้อยกว่า 30 ปี https://www.facebook.com/Suthep.Pongpitak/posts/1149596108424697/?locale=th_TH ----------------------------------------------------------------------------------------------
เลขที่หนังสือ: กค 0706/11981
วันที่: 3 ธันวาคม 2550
เรื่อง: ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีรายจ่ายค่าซ่อมโกดัง
ข้อกฎหมาย: มาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อหารือ          บริษัทฯ ประกอบธุรกิจให้เช่าโกดัง จัดเก็บสินค้าจำนวน 27 ห้อง เนื่องจากโกดังแต่ละห้องทรุด เพราะลงเสาเข็มไม่พอ บริษัทฯ จึงได้ทำสัญญาว่าจ้างผู้รับเหมาให้ซ่อมแซมโดยมีการนำดินถมพื้นให้สูงขึ้นและเทคอนกรีต เพื่อปรับสภาพให้ใช้งานได้เหมือนเดิม ซึ่งผู้รับเหมาตีราคาค่าซ่อมห้องละ 196,000 บาท บริษัทฯ จึงขอทราบว่า ค่าใช้จ่ายซ่อมแซมดังกล่าว สามารถลงเป็นค่าใช้จ่ายในปีนั้น ได้หรือไม่
แนววินิจฉัย          1. กรณีการซ่อมโกดัง เนื่องจากโกดังแต่ละห้องทรุดโดยการเทคอนกรีตให้ใช้งานได้ดังเดิมของบริษัทฯ เป็น การซ่อมแซมโกดังให้คงสภาพเดิมสามารถบันทึกบัญชีเป็นรายจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีที่พึงจ่ายได้ทั้งจำนวน ไม่ถือเป็น รายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร
          2. กรณีค่าถมดินเพื่อปรับพื้นดินให้สูงขึ้นดินที่นำมาถมนั้นเป็นส่วนควบกับที่ดินรายจ่ายดังกล่าว จึงมีลักษณะเป็น การลงทุนต้องนำมารวมกับมูลค่าที่ดิน จะถือเป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้
เลขตู้: 70/35488
https://www.rd.go.th/37198.html

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2565

แก้ไขกฏหมายจัดตั้งบริษัทแล้ว มีผลบังคับใช้ 7 กุมภาพันธ์ 2566

 

📌📣📣 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว #แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์(เรื่องหุ้นส่วนบริษัท)
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 23) พ.ศ. 2565 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2565 🎯 มีผลบังคับใช้วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566
ทั้งนี้ การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในครั้งนี้ มีประเด็นที่เปลี่ยนแปลงหลายประการ ดังนี้
1). การยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทสามารถยื่น ณ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทที่สำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่หรือตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด จากเดิมสำนักงานใหญ่อยู่ในจังหวัดใด ต้องจดทะเบียน ณ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนั้นเท่านั้น
2).รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนด ลด หรือยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัท หรือกำหนดค่าธรรมเนียมให้แตกต่างกันตามรูปแบบการทำธุรกรรมก็ได้ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้บริการผ่านระบบสารสนเทศมากขึ้น
3). บุคคลตั้งแต่ 2 ขึ้นไปจะเริ่มก่อการและตั้งเป็นบริษัทจำกัดก็ได้ จากเดิมต้อง 3 คนขึ้นไป
4). หนังสือบริคณห์สนธิที่จดทะเบียนไว้ หากไม่ดำเนินการจดทะเบียนบริษัทจำกัดภายใน 3 ปีสิ้นผลทันที จากเดิมที่ไม่มีอายุของการสิ้นผล ทำให้บุคคลอื่นไม่สามารถใช้ชื่อบริษัทที่ปรากฏในหนังสือบริคณห์สนธิที่จดทะเบียนไว้ได้
5). บริษัทใดมีตราประทับต้องประทับตราในใบหุ้นทุกใบ
6). ให้ธุรกิจนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับการประชุมกรรมการได้เพิ่มขึ้นอีกวิธีหนึ่ง นอกจากต้องมาประชุม ณ สถานที่นัดประชุมเท่านั้น
7). ยกเลิกการนำหนังสือเชิญประชุมไปลงประกาศในหนังสือพิมพ์ ยกเว้นในกรณีบริษัทจำกัดมีหุ้นชนิดออกให้แก่ผู้ถือที่ยังต้องโฆษณาในหนังสือพิมพ์ หรือในสื่ออิเล็กทรอนิกส์อยู่
😎. ให้บริษัทจำกัดจ่ายเงินปันผลให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ประชุมใหญ่หรือกรรมการลงมติเพื่อคุ้มครองผู้ถือหุ้นรายย่อย
9). ปรับปรุงหลักการเกี่ยวกับการควบบริษัทจากเดิม ก + ข = ค เท่านั้น ต่อไป กำหนดให้บริษัทสามารถควบรวมกันได้ใน 2 ลักษณะ คือ (1) ควบรวมบริษัทแล้วเกิดเป็นบริษัทใหม่ (ก + ข = ค) และ (2) ควบรวมบริษัทแล้วเหลืออยู่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง (ก + ข = ก หรือ ข) https://fbook.cc/4DNj

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ขายสินค้ามี “ค่าขนส่ง” ผู้ขายขนส่งเองหรือจ้างผู้อื่นขนส่ง

 

เลขที่หนังสือ : กค 0706/3978 
วันที่ : 9 พฤษภาคม 2549 
เรื่อง : ภาษีเงินได้หักที่จ่าย กรณีขายสินค้าพร้อมให้บริการขนส่ง 
ข้อกฎหมาย : มาตรา 65 และมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร 

ข้อหารือ : บริษัท ส. จำกัด ประกอบกิจการซื้อมาขายไป ประเภทวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ และเครื่องมือในการก่อสร้าง 
บริษัทฯ ขอทราบว่า กรณีบริษัทฯ เรียกเก็บเงินค่าสินค้าพร้อมค่าขนส่งจากลูกค้า ซึ่งบริษัทฯ จะออกใบกำกับภาษีแยกรายการค่าสินค้าและค่าขนส่งออกจากกัน แต่ระบุในใบกำกับภาษีฉบับเดียวกัน เมื่อลูกค้าชำระค่าขนส่ง ลูกค้าซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือไม่ 

แนววินิจฉัย : กรณีบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการขายสินค้าพร้อมให้บริการขนส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าด้วย บริษัทฯ มิได้เป็นผู้ประกอบการให้บริการขนส่งเป็นปกติ แม้บริษัทฯ จะออกใบกำกับภาษีโดยระบุราคาสินค้าและค่าขนส่งแยกออกจากกัน บริษัทฯ ต้องนำมูลค่าของสินค้า ซึ่งรวมค่าขนส่งมารวมคำนวณเป็นฐานภาษีสำหรับการขายสินค้าเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 65 และมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น เมื่อเข้าลักษณะเป็นการขายสินค้า บริษัทฯ จึงไม่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีที่จ่าย แต่อย่างใด 

เลขตู้ : 69/34171 
--------------------------------------------------------------------------------------------
เลขที่หนังสือ : กค 0811/17066 
วันที่ : 17 ธันวาคม 2541 
เรื่อง : ภาษีเงินได้นิติบุคคลหักที่จ่าย กรณีการขายสินค้าพร้อมให้บริการขนส่ง 
ข้อกฎหมาย : มาตรา 3 เตรส, มาตรา 79 

ข้อหารือ : บริษัท ก. จำกัด ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายชั้นวางสินค้า ตู้เก็บเอกสาร ชิ้นส่วนเกี่ยวกับเหล็ก และอื่นโดยปกติบริษัทฯ จะจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้า โดยคิดค่าขนส่งแยกต่างหากจาก ราคาสินค้า ขอทราบว่า บริษัทฯ จะต้องถูกหักภาษีที่จ่ายหรือไม่ 

แนววินิจฉัย : กรณีบริษัท ก. จำกัด เป็นผู้ประกอบการขายสินค้าและให้บริการขนส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าด้วย โดยที่บริษัทฯ มิได้เป็นผู้ประกอบการให้บริการขนส่งอยู่เป็นปกติธุระ ดังนั้น เมื่อมีการขายสินค้าพร้อมทั้ง บริการขนส่งให้ด้วย ไม่ว่าการขนส่งนี้จะใช้ยานพาหนะของตนเองหรือจ้างบุคคลอื่นให้ขนส่งให้ และไม่ว่า จะแยกค่าขนส่งออกจากราคาสินค้าหรือไม่ บริษัทฯ ต้องนำมูลค่าของสินค้าซึ่งรวมค่าขนส่งมารวมคำนวณ เป็นฐานภาษี สำหรับการขายสินค้าเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร และ เมื่อกรณีถือเป็นการขายสินค้าบริษัทฯ จึงไม่ต้องถูกหักภาษีเงินได้ที่จ่าย แต่อย่างใด 

เลขตู้ : 61/27350